วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เพชรพระอุมา ตอนที่1 ไพรมหากาฬ 1(1-4)

blogนี้สำหรับแฟนเพชรพระอุมา อ่านแล้วประทับใจคำพูดไหน ชอบตอนไหน อ่านแล้วรู้สึกยังไงเข้ามาเม้นท์กันได้นะจ๊ะ ส่วนเราอ่ะหรอ หน้าไหนก็โดนนน.. ก็คนมันรักเพชรพระอุมาง่ะ

" ณ ที่ใดดวงใจไม่ไหวหวั่น
ขอฝ่าฟันอุปสรรค และขวากหนาม
ถึงสิ้นชาติวาสนาชะตาทราม
จะฝากนามโลกให้รู้กูก็ชาย! "
1

                        จิ๊ปดอจ์ดขนาดใหญ่หลายคันเคลื่อนผ่านประตูเหล็กมหิมาที่เปิดกว้างออกหมด
                        ทั้งไวล์ดไลฟ์ เข้ามาอย่างแช่มช้าเรียงกันมาเป็นขบวนเสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่ม 
                        อยู่ในเกียร์ต่ำ ขณะที่ชะลอผ่านช่องประตูเข้ามา  เสียงตะโกนทักทายและสรรพ สำเนียงแห่งการโกลาหลอลหม่านวุ่นวาย อันเป็นธรรมดาของทุกครั้งที่การขน สัตว์ป่ามาถึง ดังปะปนกันฟังไม่ได้ศัพท์ พวกคนงานนับสิบภายในสถานที่นั้นวิ่งกันคึกคักออกมาต้อนรับ เตรียมการลำเลียงขนถ่ายสัตว์ป่านานาชนิดที่บรรจุในกรงหรือมิฉะนั้นก็หีบลงมาจากรถ
     มันเป็นสถานีกักสัตว์ เพื่อเตรียมส่งออกนอกประเทศที่ใหญ่โตและทันสมัยที่สุด ตั้งอยู่ในเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 15 ไร่ ภายในกำแพงคอนกรีตแข็งแรงกั้นรอบ สถานที่ทำการของบริษัท
1
อาคารทันสมัยตั้งอยู่ใจกลางบริเวณซึ่งแวดล้อมไปด้วยกรงขังสัตว์ทุกชนิด นับตั้งแต่กรงนกเล็กๆ ขึ้นไปจนกระทั่งพะเนียดช้างเกือบจะเป็นสวนสัตว์ย่อยๆ ตั้งอยู่ในระหว่างครึ่งทางของอารยธรรมแห่งเมืองหลวง และความเปล่าเปลี่ยวป่าเถื่อนของดงดิบ
     ชายในชุดสีกากี ผู้นั่งกึ่งโหนอยู่ในตอนหน้าของรถบรรทุกคันแรกซึ่งผ่านประตูเข้ามา ทิ้งตัวลงจากรถเลี่ยงมายืนใต้ร่มจามจุรีใหญ่ใกล้ซุ้มประตู ถอดหมวกปีกใหญ่คาดแถบด้วยหนังสือดาวออกตบกับขา ฝุ่นกระจายฟุ้ง ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ ตาสีน้ำตาลหรี่มองดูรถบรรทุกที่ทยอยผ่านประตูเข้ามาทีละคันเหล่านั้น นานๆ ก็ตะโกนสั่งงานกับคนขับสักคำ

     ในห้องรับแขกหรูหราบนตึกที่ทำการ อำพล พลากร ผู้อำนวยการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์'ผละจากการสนทนา เดินไปดึงสายมู่ลี่อะลูมิเนียมให้กระดกเปิดขึ้น มองฝ่าหน้าต่างกระจกลงไปแล้วบุ้ยปาก
     "นั่นไงครับ เขามาแล้ว"
       ผู้เป็นแขกทั้งสามคน สุภาพบุรุษวัยฉกรรจ์สอง และสุภาพสตรีสาวหนึ่ง ลุกขึ้นจากโซฟาชุดรับแขกโดยเร็ว เดินไปที่หน้าต่างบานนั้น พุ่งสายตาจับไปยังเป้าหมายเบื้องล่าง ระยะห่างประมาณ 150 เมตร เป็นตาเดียว
     "ยืนอยู่ข้างประตูน่ะหรือครับ?"
      ผู้เอ่ยถามเป็นคนแรก เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ผิวขาวคางเหลี่ยม มีเส้นหนวดกันเรียวอยู่เหนือริมฝีปาก สง่างามเยือกเย็น
2
     "ครับ! นั่นแหละ คนที่คุณชายกำลังต้องการพบ"
      ผู้อำนวยการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์'ตอบอย่างสุภาพ อีกบุรุษหนึ่ง ซึ่งยืนมองอยู่ข้างๆ ผิวปากหวือ
      ลักษณะของเขาเป็นคนแจ่มใส อารมณ์รื่นเริงอยู่เป็นนิจ ลำสันแข็งแรงตามแบบฉบับของชายชาตรีคนหนึ่ง
     "พับผ่าซิ ผมรู้สึกจะชอบเขาเสียแล้ว ทั้งๆที่เห็นปัปเดียว ระยะไกลๆอย่างนี้"

     หญิงสาวร่างโปร่ง ประพิมพ์ประพายคล้ายบุรุษคนแรก แต่ทรงใบหน้ารูปไข่ ตาใหญ่ทั้งคู่คมกริบ เป็นประกายแวววามอยู่เป็นนิจ ในขณะนี้หล่อนไม่ได้มองจับที่ภาพนั้นด้วยตาเปล่าธรรมดาเหมือนคนอื่นๆหากแต่ใช้กล้องส่องทางไกลอันกะทัดรัดปรับเลนส์จับนิ่งอยู่ที่นั่น หล่อนยิ้มออกมานิดๆ พร้อมกับยักไหล่เมื่อเลนส์ของกล้องให้ภาพที่แจ่มใสถนัดขึ้นประหนึ่งว่าเป้าหมายยืนห่างอยู่เบื้องหน้าในระยะแค่เอื้อม
     "กิตติศัพท์ชื่อเสียงของเขา ดูจะค้านกันมากกับรูปร่างลักษณะที่เห็นอยู่ในขณะนี้"
      หล่อนพูดเสียงใส พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
     "ฉันนึกหลับตาวาดภาพในครั้งแรกว่า เขาควรจะอยู่ในวัยสัก 40 ขึ้นไป รูปร่างสักขนาด 6 ฟุต เป็นอย่างน้อย แต่มันตรงข้ามไปหมด ตัวเขาเล็กนิดเดียว สูงเห็นจะไม่เกิน 5 ฟุต 7 นิ้ว เป็นอย่างมาก ผอมเกร็ง ฉันไม่ชอบหน้าเหี้ยมๆ ที่ไม่มีรอยยิ้มของเขาเสียเลย นี่นะเหรอ รพินทร์ ไพรวัลย์ จอมพรานชื่อก้องที่เรากำลังจะต้องพึ่งเขา"
3
     "ตัวเขาเล็กก็จริงครับคุณหญิง แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือหรือน้ำใจ บุรุษผู้นี้ยิ่งใหญ่นัก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว เขาเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ชนิดที่หาได้ไม่ง่ายนัก ผมจะให้คนไปเชิญเขาขึ้นมาเดี๋ยวนี้"

      รพินทร์ ไพรวัลย์ ดีดก้นบุหรี่ลงไปขยี้ดับด้วยปลายรองเท้าที่หนาทึบไปด้วยฝุ่นของเขา เมื่อรถคันสุดท้ายผ่านประตูเข้าหมดขบวน ควักผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อตามลำคอ พร้อมกับเป่าลมพรูออกทางปากเหมือนจะขับไล่ความร้อนอบอ้าวของแดดบ่ายกลางเดือนมีนาคม
     นายประเสริฐ ผู้จัดการสถานีกักสัตว์ก็เดินฝ่ากลุ่มอันทำให้งานวุ่นวายของพวกคนงานพื้นเมืองเข้ามาอย่างรีบร้อน ส่งเสียงร้องทักยิ้มแย้มล่วงหน้าเข้ามา ก่อนที่จะถึงตัวอย่างคุ้นเคย รพินทร์ยิ้มและทักทายตอบ
     "มายืนอยู่ตรงนี้เองนะหรือครับ คุณรพินทร์ ท่านผู้อำนวยการให้ผมมาเชิญคุณขึ้นไปข้างบนบริษัทหน่อย "
     "ครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นไป ผมเพิ่งมาถึง มันร้อนเหลือเกิน จะดูคนงานขนลำเลียงเจ้าพวกนั้นลงหน่อย อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเจ้าแรดตัวนั้น เรากำลังรีบ การต่อกรงรู้สึกว่าจะบอบบางไปหน่อย ถ้าลำเลียงลงไม่ดี กรงมันอาจแตก แล้วมันก็จะวุ่นวายกันใหญ่"
      เขาพูดด้วยน้ำเสียงเลาต่ำอันเป็นนิสัย ตามองจับไปยังการขนลำเลียงในขณะนี้
      4
     "เที่ยวนี้รู้สึกว่าจะคึกคักมากนะครับ ตั้งเจ็ดคันรถ เป็นไงได้ครบจำนวนตามออเดอร์หรือเปล่า?"
      ทั้งสองยืนพูดกันอย่างท่ามกลางเสียงเอะอะเอิกเกริกของคนงานพื้นเมือง ซึ่งกำลังทำงานกันอยู่ ระคนไปกับเสียงร้องคำรามของสิงสาราสัตว์รอบด้าน
     "ขาดอยู่อย่างเดียวคือลิง เที่ยวนี้เราได้มาเพียงพันสองร้อยกว่าตัวเท่านั้น ยังขาดอยู่อีกตั้งครึ่ง ไม่รู้มันเป็นยังไง แล้งคราวนี้มันยกฝูงย้ายถิ่นไปหมด แต่พวกสัตว์ใหญ่ดูเหมือนจะเกินกว่าที่ผมเอง หรือคุณอำพลคาดไว้แต่แรกด้วยซ้า นอกจากเจ้าแรดน้ำหนักตัวสองตันกว่า ที่เราฟลุ้กได้มาเหมือนฝัน ผมยังมีลูกกระทิงมาฝากเป็นของขวัญคุณอำพลอีกตัวหนึ่ง ลายพาดกลอน 2 เสือดาว 5 ไอ้ดำอีก 3 โดยเฉพาะเสือดำ ถ้าคุณกับคุณอำพลเห็นแล้วจะตะลึงทีเดียว ผมก็ยอมรับว่าไม่เคยเห็นเสือดำตัวไหนใหญ่เท่าไอ้ตัวนี้มาก่อน น้องๆไอ้ลายทีเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นเสืออายุกำลังฉกรรจ์เต็มที่ ไม่มีรอยตำหนิเสียโฉมแม้แต่นิดเดียว ส่วนสัตว์อื่นๆ ก็ตรงตามสิสต์ที่ผมส่งมาให้ล่วงหน้าแล้วทุกอย่าง"
     "เที่ยวนี้เห็นคุณจะกระเป๋าหนักไปนาน"
     นายประเสริฐพูดปนหัวเราะ
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ยักไหล่
     "แต่เที่ยวนี้ผมลงทุนไปแยะ นอกจากเงินทุนค่าใช้จ่ายความเหนื่อยยากจนแทบเอาชีวิตตนเองไม่รอดแล้ว ผมยังเสียพรานพื้นเมืองมือดีที่ทำงานกับผมมาแต่ไหนแต่ไรไปอีกสองคน คนนึ่งเหลวเละไปทั้งตัวเพราะเจ้าแรดตัวนั้น สวนอีกคน
 5
หนึ่ง มีหวังพิการไปตลอดชีวิต คุณประเสริฐคิดว่าคุ้มกันหรอ สำหรับเงินที่ผมจะได้รับในครั้งนี้ ว่าแต่...คุณอำพลกำลังทำอะไรอยู่?"
     "อยู่ในห้องรับแขกส่วนตัว บนตึกอำนวยการครับ มีแขกอยู่ด้วยสามคน มาด้วยรถส่วนตัวจากกรุงเทพ ถึงที่นี้ก่อนเที่ยงเล็กน้อย รู้สึกว่าจะเป็นพวกคนใหญ่คนโต และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้อำนวยการมาก่อนอย่างดี ขณะนี้กำลังสนทนากันอยู่ เป็นชายหนุ่มสองคน ผู้หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พอคุณมาถึง ผู้อำนวยการใช้ให้ผมมาตามคุณขึ้นไปนี่แหละครับ"
        เขาพยักหน้าไม่ได้สนใจอะไรกับคำบอกเล่าของนายประเสริฐผู้จัดการนัก บอกว่า
     "เอาละครับ คุณไปเรียนคุณอำพลเถอะว่า อีกสักประเดี๋ยวผมจะขึ้นไป จัดการอะไรทางนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน"
      ผู้จัดการผละไป รพินทร์เดินแยกไปบงการควบคุมพวกคนงานที่กำลังลำเลียงกรงสัตว์อยู่อย่างเกรียวกราวเอิกเกริกในขณะนี้

      สัตว์ใหญ่อันตราย ถูกลำเลียงลงจากรถบรรทุกอย่างระมัดระวังตามลำดับ บางชนิดก็ถูกขนไปปล่อยไว้ในกรงเหล็กของสถานีกักกันสัตว์อันเตรียมไว้ก่อนแล้ว บางชนิดก็คงให้อย่ในกรงไม้ที่ใช้บรรจุมาโดยพักไว้ชั่วคราวก่อน มันเป็นงานที่ไม่ใช่ทำกันได้อย่างสะดวกง่ายดายนัก
6
      ขณะนี้ กรงไม้ขนาดใหญ่ที่ตีฝาทึบลักษณะเหมือนลัง อันบรรจุเจ้าเสือดำตัวเขื่องที่สุด กำลังถูกพวกคนงานสี่ห้าคนช่วยกันผลักเลื่อนมายังบริเวณส่วนบรรทุกตอนท้ายของรถ ซึ่งมีไม้กระดานขนาดใหญ่สองแผ่นทอดเป็นสะพานสำหรับใช้ชะลอเลื่อนลงมาทางนั้น เสียงเจ้าป่าแผดคำรามก้องอยู่ในกรงทึบอย่างเกรี้ยวกราด ระคนไปกับเสียงเฮละโลโหระพาของเจ้าพวกคนงานพื้นเมือง ที่ช่วยกันเข็นเลื่อนอยู่ในขณะนี้ ดูเป็นที่สนุกสนาน
      รพินทร์ ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด สาวเท้าจากรถบรรทุกอีกคันหนึ่ง เดินตรงเข้ามาโดยเร็ว พร้อมกับร้องตะโกนเตือนความสนุกสนานคึกคะนองของคนงานพื้นเมืองเหล่านั้น การส่งเสียงเอะอะเล่นกันไปพลางของเจ้าพวกนั้น เท่ากับยั่วยุให้เจ้าป่าบังเกิดความตื่นเต้นดุร้าย และสำแดงฤทธิ์ดิ้นรน พยายามจะแหกกรงออกมาให้ได้ แทนที่จะสงบลง
      เขาเดินกลับมายังไม่ทันจะถึงที่นั่นพวกคนงานก็ผลักกรงเสือดำมาถึงไม้สองแผ่นที่ทอดเป็นสะพาน แล้วช่วยกันพยุงยกลังขึ้นวางบนไม้ เพื่อจะให้ไหลเลื่อนลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
      จะเป็นเพราะเจ้าพวกนั้นมัวแต่ระเริงเล่นกันเห็นเป็นของสนุก หรือจะเป็นความสะเพร่าขาดระมัดระวังของคนงานอีกสามคนที่คอยยืนรับอยู่เบื้องล่างอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ทราบได้ ปรากฎว่าไม้กระดานแผ่นหนึ่งที่วางคานอยู่ระหว่างท้ายรถกับพื้นดินถูกไถลเลื่อนแตะติดกับขอบท้ายในตอนบรรทุกของรถอยู่เพียงหมิ่นเหม่นิดเดียวเท่านั้น และสายตาของรพินทร์ก็เหลือบไปเห็นเข้าพอดี
7
     "เฮ้ย!ระวังสะพานไม้แผ่นนั้น"
      เขาร้องตะโกนออกมาสุดเสียง
      ช้าไปเสียแล้ว เสียงร้องเตือนของเขายังไม่ทันจะขาดคำกรงใหญ่บรรจุเสือดำ ซึ่งบัดนี้ถูกยกขึ้นมาวางอยู่บนไม้กระดานทั้งสองแผ่น เตรียมที่จะโรยเชือกตาม เพื่อให้ค่อยๆเลื่อนลงไปสู่พื้น ก็พลันหล่นวูบลงมาอย่างกะทันหันทั้งกรง เพราะไม้กระดานแผ่นที่วางอยู่อย่างหมิ่นเหม่อันนั้น รอดพ้นจากการพาดติดกับขอบรถ
      กรงที่ประกอบขึ้นด้วยไม้หยาบๆตีไว้ไม่แน่นหนาอะไรนัก กระทบกับพื้นเบื้องล่างโดยแรงเสียงดังสนั่น ส่วนหนึ่งแตกหักออกในทันทีนั้น พร้อมกับเสียงแผดคำรามกึกก้องของเจ้าป่า ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของคนงานทุกคน
     เสือดำขนาดมหึมา ดิ้นรนตะกุยตะกายอย่างดุร้ายเมื่อเห็นช่องทางแห่งอิสรภาพ และในพริบตา มันก็เผ่นพรวดออกมาได้โจนเข้าใส่คนงานที่ยืนตะลึงขวางหน้าอยู่ใกล้ที่สุดด้วยสัญชาตญาณตื่นเต้นหนีภัยมากกว่าที่จะคิดทำร้าย ชายผู้นั้นร้องออกมาสุดเสียง ล้มครืนลงดิ้นพราดอยู่กับพื้นใบหน้าถูกอุ้งเล็บตะปบยับเยินไปทั้งแถบ ลูกตาหลุดหายไปข้างหนึ่งเลือดสาด
      เจ้าเสือดำพุ่งปราดเข้าใส่คนต่อๆไป เท่าที่ทิศทางแห่งการเผ่นทะยานของมันจะผ่านไปได้ แตกกระจัดกระจายเลือดสาดไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายเอ็ดอึงอย่างตื่นตระหนกของคนงานผู้ประสบเหตุทั้งหลาย โกลาหลไปตลอดทั้งบริเวณสถานีกักสัตว์


เสือดำ/Leopard
8
ทุกคนเผ่นหนีหลบเข้าหาที่ซ่อนอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมทั้งตะโกนบอกกันฟังไม่ได้ศัพท์
     "เฮ้ย!เสือหลุด!ชิบหายใหญ่แล้ว ไอ้ดำหลุดไว้ย ระวัง!"

      ระพินทร์ ไพรวัลย์ ได้สติในพริบตานั้น เจ้าป่าพุ่งลิ่วผ่านคนงานที่วิ่งหลบกันอยู่จ้าละหวั่นในขณะนี้ มายังเขาอย่างรวดเร็ว จอมพรานกระโจนวูบเข้าหลบหน้าหม้อของรถบรรทุกมันเผ่นผ่านหน้าเขาไปอย่างหวุดหวิด แล้ววิ่งเตลิดส่งเสียงคำรามตรงไปยังบริเวณอันสลับซับซ้อนของกรงสัตว์อื่นๆ ซึ่งบัดนี้พากันส่งเสียงร้องคำรามกันขึ้นลั่นไปหมดเพราะความแตกตื่น
      เขาหันไปตะโกนสั่งยามหน้าประตู ให้รีบปิดประตูกรงเหล็กลงโดยเร็ว ป้องกันไม่ให้เจ้าเสือกรงแตกหลุดออกไปพ้นจากบริเวณได้ ในขณะเดียวกันก็ร้องตะโกนบอกให้คนงานทั้งหลายเร่งหลบเข้าไปที่ตึกอำนวยการ
      ทุกคนวิ่งกันชุลมุนไปหมด หลายต่อหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเขี้ยวเล็บของพยัคฆ์ร้าย แต่ไม่มีใครถึงกับเสียชีวิตในขณะนี้ เพราะมันกำลังตื่น ไม่ได้มุ่งที่จะประหัตประหารขย้ำใครโดยเฉพาะ นอกจากใครอยู่ใกล้กีดขวางหน้าก็ตบกันผ่านไปชั่วขณะเท่านั้น
       หลายต่อหลายคนคว้าปืนวิ่งกันออกมา และระดมยิงกันสนั่น ถูกที่ไม่สำคัญ ไม่สามารถหยุดยั้งมันไว้ได้ นอกจากจะเป็นการยั่วยุ ทวีให้มันเพิ่มความดุร้ายขึ้นไปอีกอย่างบอกไม่ถูก การยิงไม่สามารถจะยิงได้ถนัดนัก เพราะกลุ่มคนงานเองที่วิ่ง
9
หนีแตกตื่นกระจัดกระจายอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสัตว์อื่นๆที่อยู่ในกรง อันอาจจะโดนลูกหลง เกิดความเสียหายขึ้นได้ และปืนที่คนงานใช้เหล่านั้นก็ล้วนเป็นปืนลูกซอง แต่ละคนก็ยิงด้วยความตื่นเต้นตกใจไม่ได้สติ
      รพินทร์ยืนโคลงหัว สบถสาบานพึมพำอยู่ในลำคอ เขาไม่รู้ที่จะตัดสินใจอย่างไรถูก จะร้องห้ามพวกคนงานที่กำลังถือปืนกันกะเร่อกะร่าพวกนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเสียแล้ว
      ทันใดนั้น นายประเสริฐผู้จัดการ ก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากตึกอำนวยการ ร้องตะโกนบอกพวกคนงานเสียงหลง
     "เฮ้ย !หยุดยิง ! ทุกคนไม่ต้องยิง ประเดี๋ยวถูกกันเองตายโหงไปเท่านั้น พวกเอ็งหลบไปให้หมด"
      พวกนั้นจึงพากันวิ่งหนี หลบเข้าไปที่ตึกอำนวยการหมดสิ้น
      ผู้จัดการก็วิ่งหน้าเริ่ดมาที่เขา ซึ่งในขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ที่โล่งกลางบริเวณสถานีกักสัตว์ใกล้กับรถที่จอดอยู่ ร้องบอกละล่ำละลัก
     "คุณรพินทร์จัดการกับไอ้ดำนั่นทีเถิดครับ ชิบหายใหญ่แล้ว"
     "จะให้ผมจัดการยังยัง?"
      เขาถามขรึมๆ
     "ผู้อำนวยการบอกให้คุณยิงทิ้งเลยครับ เร็วเข้าเถอะ ประเดี๋ยวไม่ใครก็ใครก็ถูกขย้ำตายบ้างเท่านั้น เลือดสาดกันไปเป็นระนาวแล้ว"
      นายประเสริฐพูดลิ้นพันกันอยู่เช่นนั้น หน้าซีด ตาเหลือก
      จอมพรานหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ
     "คนงานของคุณนี้ไม่ไหวเลยจริงๆคุณประเสริฐ ขนาดผมคุมให้เขาทำงานอยู่อย่างใกล้ชิดแท้ๆ ทำอะไรเป็นเล่นกันไปหมด อ้าปากเตือนยังไม่ท้นจะขาดคำเลย ก็เกิดเรื่องยุ่งขึ้นเสียแล้ว เสือดำตัวนี้เป็นตัวขนาดงามที่สุด บอกตรงๆ ผมอยากจะจับเป็น"
     "โอ!ไม่ได้หรอกครับ ชิบหายแน่ ถ้าคุณขืนมัวแต่คิดจะจับเป็นอยู่ ยิงเถอะครับ ผู้อำนวยการก็สั่งอย่างนั้น"
     "ผมไม่รับผิดชอบนะ สำหรับไอ้ดำตัวนี้ เพราะมันมาหลุดอยู่ในสถานีกักสัตว์ของคุณ ยิงก็ได้ แต่บอกเสียก่อนว่าจะมาหักราคาเอากับผมไม่ได้"
     "แน่นอนครับ ไม่ต้องกังวลเลยในข้อนั้น ความผิดมันอยู่ที่บริษัทของเราเอง"
      ผู้จัดการบอกเร็วปรื๋อ

      รพินทร์ ไพรวัลย์ สั่นศรีษะช้าๆ อีกครั้ง ชะโงกเข้าไปในรถ คว้า 30-06ออกมา แล้วเหนี่ยวแขนผู้จัดการสถานีกักสัตว์ผลักรุนให้เข้าไปนั่งอยู่ในรถ
     "อยู่ในนั้นแหละ อย่าออกมา จนกว่าจะเรียบร้อย"
      ว่าแล้วเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าย่ามของเสื้อล่าสัตว์ที่สวมอยู่ หยิบลูกซิลเวอร์ทิปออกมา กระชากลูกเลื่อนออก ยัดลูกปืนเข้าไปในรังเพลิงนัดเดียว กระแทกลูกเลื่อนปิดแล้วเดินดุ่มๆตามรอยของเจ้าดำ ซึ่งเห็นว่ามันเผ่นหายไปทางกรงสัตว์ที่ขังไว้เก่าๆด้านซ้ายของบริเวณ
ไรเฟิล  30-06
11
     สายตาทั้งหมดจับนิ่งมายังร่างของจอมพรานเป็นตาเดียว ด้วยใจอันสั่นระทึก รวมทั้งผู้อำนวยการบริษัท และผู้เป็นแขกอีกสามคน ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นทางหน้าต่างกระจกบานนั้นด้วยความตื่นเต้น
      สายตาอันคมกริบเฉียบไวของเขา เริ่มกวาดอย่างระมัดกระวังไปรอบด้าน เมื่อตนเองเดินช้าๆ อยู่ระหว่างกรงนกเงือกภายใต้เงาของต้นทองหลางใหญ่ใกล้ซุ้มข่อยทึบแล้วชะงักนิ่งประสาทตื่นพร้อมเมื่อได้ยินเสียงคำรนก้องออกมาจาซุ้มข่อยนั้น ฝูงนกเงือกในกรงตาข่ายขนาดใหญ่พากันแตกตื่นส่งเสียงร้องและบินกันพึ่บพับ มองลอดกรงตาข่ายทะลุไปยังซุ้มข่อยตรงข้าม เห็นตาเขียวปัด ปากแดงฉานที่อ้าแสยะ และกรงเขี้ยวขาว ไอ้ดำนอนหมอบอยู่ที่นั่น กำลังเลียแผลจากกระสุนลูกซองซึ่งฝังอยู่ที่ตะโพก อันเกิดจากการยิงอย่างส่งเดชของพวกคนงาน
      เขาตวัดไรเฟิลขึ้นอย่างใจเย็น ตาจับอยู่ที่เป้าหมายอันมีระยะห่างไม่เกิน 10 เมตร โดยมีกรงนกเงือกกั้นกลาง ไอ้ดำเผ่นพรวดพราดขึ้นโดยเร็ว กระโจนไต่ตะกุยตะกายขึ้นไปบนต้นฉำฉา พอถึงคาคบ ก็หมอบตัวทำหูลู่ อ้าปากแสยะเขี้ยวมาทางเขา พร้อมด้วยดวงตาอันลุกจ้าดุร้าย
      และพริบตานั้นเอง มันก็เผ่นพรวดสยายเล็บพุ่งลงมาใส่อย่างดุเดือด โดยข้ามหลังกรงนกเงือกลงมา
      รพินทร์วาดลำกล้องปืนตาม ในขณะที่มันตะกายขึ้นไปบนต้นฉำฉา แล้วมันก็เผ่นเข้าใส่...
      30-06 ก็แผดระเบิดกึกก้องไปทั่ว
      เป็นการยิงสวนในระยะเผาขน!
12
       ร่างของเสือดำขนาดใหญ่ ปะทะร่างของจอมพรานโดยแรง เขาล้มกระแทกลงไปเบื้องหลัง ปืนหลุดจากมือกระเด็นส่วนเสือร้ายม้วนตัวสั่นริกๆ อยู่กับที่ตรงนั้น มีแต่สวนหางยาวเท่านั้นที่แกว่งวาดไปมาอยู่สองสามครั้ง แล้วก็สงบนิ่ง
      ผู้จัดการของสถานที่ และคนงานทั้งหลาย พากันวิ่งพรูเข้ามา เป็นเวลาเดียวกับที่รพินทร์ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เดินมายืนโครงศีรษะอย่างสุดเสียดาย อยู่ที่ซากของไอ้ดำร้ายกาจตัวนั้น
      กระสุน 30-60 เจาะแสกหน้าของมันทะลุเลยออกต่ำกว่าต้นคอเล็กน้อย!

      บนห้องผู้อำนวยการที่หน้าต่างกระจก ทุกคนผ่อนลมหสายใจที่สะกดกลั้นไว้ออกมาอย่างโล่งอก
     "จริงของคุณอำพล"
      หนึ่งในสองของสุภาพบุรุษผู้เป็นแขกครางออกมา
     "ตัวเขาเล็กก็จริง แต่ฝีมือและน้ำใจไม่เล็กเลย ผมเองเคยยิงเสือมาสองครั้ง บอกตรงๆว่า ขณะที่ยิงมือสั่นเป็นเจ้าเข้า ทั้งๆที่ผมก็บอกตัวเองว่าในบรรดาคนกล้าทั้งหลายแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น เวลายิงก็เป็นเวลาที่นั่งอยู่บนห้าง แต่ถ้าจะให้รางวัลผมสักแสน ให้ผมเดินถือปืนเข้าไปยิงเสือซึ่งๆหน้าอย่างนี้ละก็ เห็นจะไม่รับประทาน"
     "ผมชอบการยิงสวนในระยะประชิดของเขาจริงๆ"
      อีกชายหนึ่งพูด ตาจับอยู่ที่เป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยน เป็นประกายสดใส
13
     "ทีแรกผมนึกว่าเขาจะยิงผ่านลูกกรงตาข่ายของนกเงือกเข้าไปเสียอีก แต่เขากลับรอจังหวะให้มันพุ่งกระโจนลงมาใส่ และยิงในขณะนั้น ผมก็อยากจะเชื่อตามคุณอำพลว่า ในข้อที่รับรองว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษและนักกีฬาคนหนึ่ง เพราะแม้กระทั่งสัตว์เขาก็ยังให้โอกาสกับมัน ถ้ามือเขาไม่ดีจริงเมื่อกี้นี้เขาอาจถึงแก่ชีวิต มันเป็นการแลกกันอย่างยุติธรรมดีเหลือเกิน"
     "เขาน่าจะได้รับบาดเจ็บบ้างนะคะ น้อยเห็นเขาถูกเสือตัวนั้นกระโจนลงมาปะทะล้มลง แม้เขาจะยิงมันตายก็ตาม แต่ทำไมเห็นเขาลุกขึ้นมาอย่างปกติดีทุกอย่างพวกนั้นรุมมุงกันใหญ่แล้ว"
       หญิงสาวผู้ยังใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจเหตุการณ์ทุกระยะพูดขึ้น ลักษณะที่หล่อนพูด ดูเหมือนจะเจตนาพูดกับผู้เป็นพี่ชาย แต่ผู้อำนวยการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์'ตอบแทนให้อย่างสุภาพว่า
     "กระสุนนัดนั้นของเขา จะต้องตัดสมองส่วนที่สำคัญที่สุดของมันครับคุณหญิง มันตายคาที่ในทันทีที่กระโจนลงมาก่อนที่จะทำร้ายเขาได้ เขาถูกปะทะล้มลงจากแรงเหวี่ยงที่มันกระโจนลงมาเท่านั้น ระพินทร์ชอบยิงสัตว์ในขณะที่มันชาร์จสวนเข้ามาอย่างนี้เสมอ เมื่อปลายปีที่แล้วเขาก็ต้องไปนอนอยู่ในโรงพยายบาลกรุงเทพเสียสองเดือนกว่า เพราะยิงสวนกระทิงเจ็บตัวหนึ่ง ซึ่งพรานพื้นเมืองของเขายิงไว้ก่อน กระสุนของเขาตัดสมองกระทิงตัวนั้นอย่างแม่นยำ แต่เคราะห์เขาร้ายไปหน่อย เพราะเขายิงมันในขณะที่ชาร์จรี่เข้ามา ในระยะไม่เกินสิบห้าเมตร มันชนเขาด้วยแรงที่วิ่งมากระเด็นลอยไปสลบอยู่กับพื้น ซี่โครงหัก ส่วนตัวมันเองก็ล้มคว่ำอยู่ข้างๆร่างของเขา ความจริงเขาเกือบตายเพราะอาชีพของเขามาหลายครั้งแล้ว"
     "แน่ะ!เขากำลังเดินมาโน่นแล้ว เราคงจะได้พบเขาในไม่กี่อึดใจนี่แหละครับ"
2

                    รพินทร์ ไพรวัลย์ เปิดประตูห้องรับแขกของผู้อำนวยการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์' ซึ่ง
                    เป็นบริษัทที่มีสัญญาติดต่อซื้อสัตว์ป่าเป็นๆกับเขามาเป็นเวลานาน ก้าวเข้าไปแล้ว
                    หยุดชะงักนิดหนึ่ง อำพล พลากร ยิ้มร่าอยู่ก่อนแล้ว ร้องทักพร้อมกับตรงเข้ามาฉุด
                   แขนนำเดินไปที่โต๊ะรับแขก ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่เขาไม่เคยรู้จักสามคนพากันจ้องมองมาก่อนแล้วเป็นตาเดียว เขายังไม่มีโอกาสที่จะสังเกตคนเหล่านั้นได้ถนัดนัก ในสายตาที่ชำเลืองผ่านๆ เพราะกำลังพูดโต้ตอบทักทายอยู่กับผู้อำนวยการบริษัท
     "ผมเสียใจที่เกิดอุปัทวเหตุขึ้น คนของคุณเจ็บสาหัสไปคนหนึ่ง เลือดตกยางออกไปอีก 4-5 คน เพราะความสะเพร่าของพวกเขาเองแท้ๆ"
16
      พรานใหญ่พูดอย่างสำรวม น้ำเสียงของเขาเบาเรียบ อำพลหัวเราะหนักหน่วง แล้วโอบไหล่ไว้
     "โอ้ย ! เรื่องเล็กไม่ต้องกังวลไปหรอกคุณรพินทร์ ขอบคุณเหลือเกินที่ช่วยจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วยวันนี้ผมว่ากว่าจะเอามันอยู่พวกเราคงจะวุ่นวายกันไม่ใช่น้อย ดีไม่ดีอาจมีใครตายก็ได้ มันเป็นความผิดของคนของผมเอง"
     "แต่ผมเสียดายมันเหลือเกิน มันเป็นเสือดำตัวงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา"
     "ช่างมันเถิดครับ ทำไงได้ล่ะ ลงหลุดออกมาแบบนี้แล้วก็ต้องยิงทิ้งเท่านั้น เรื่องที่จะจับเป็นเห็นจะไม่ต้องหวัง ผมยินดีที่จะชดใช้ให้คุณตามราคา ว่าแต่นี่แน่ะ เราอย่าไปสนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย ผมกำลังรอพบคุณอยู่ทีเดียว"
      อำพลหยุดเว้นระยะนิดหนึ่ง หันมาทางบุคคลทั้งสาม ที่จ้องมองกับการโผล่เข้ามาของรพินทร์ ไพรวัลย์ อย่างเงียบๆ ขณะนี้เขาและพรานใหญ่ยืนอยู่เบื้องหน้าของคนเหล่านั้น แล้วผู้อำนวยการบริษัทที่ดำเนินกิจการส่งสัตว์ป่าออกนอกประเทศโดยอภิสิทธิ์ก็กล่าวต่อมาโดยเร็ว
     "คุณรพินทร์ ทั้งสามท่านที่นั่งอยู่นี่ มีธุระสำคัญยิ่งกับคุณ และได้เดินทางจากกรุงเทพมาดักรอพบคุณอยู่ที่นี่ ก่อนหน้าคุณจะมาถึงสองชั่วโมงเศษแล้ว ผมเป็นคนติดต่อส่งข่าวล่วงหน้าไปให้ทราบเองว่า วันนี้เป็นวันที่คุณจะเดินทางเข้ามาส่งสัตว์ตามกำหนดเวลา เลยนัดให้ท่านมา"
      รพินทร์ ไพรวัลย์ มีสีหน้าตื่นงงเล็กน้อย ตาสีน้ำตาลเข้ม
17
ของเขา กราดผ่านใบหน้าของบุคคลทั้งสามผาดๆอีกครั้ง เห็นแต่เพียงสองชายลุกขึ้นยืนและยิ้มให้ ส่วนหญิงสาวคงนั่งไขว่ห้างอยู่ตามเดิม เพียงแต่จ้องตาดำสนิทคมกริบนิ่งมา
      นายอำพล ผู้อำนวยการอันเป็นเจ้าของสถานที่ ก็กล่าวแนะนำว่า
     "ท่านผู้นี้ คือพันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ อดีตฑูตทหารบก ประจำสหรัฐฯ แต่ในขณะนี้นอกราชการ ท่านผู้นี้คือ พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย เพื่อนสนิท นอกราชการเหมือนกัน"
      ทั้งสองกล่าวทักทายเขาก่อน พร้อมทั้งส่งมือมาให้จับ รพินทร์จับมือพร้อทั้งก้มศรีษะให้ ภายหลังจากทักทายคนทั้งสองเสร็จ นายอำพลก็ผายมือไปทางหญิงสาว หล่อนมองดูที่เขาตลอดเวลาอยู่แล้ว
     "และสุภาพสตรีผู้นี้คือ แพทย์หญิงหม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ น้องสาวของคุณชายเชษฐา นักศึกษาที่กำลังจะทำปริญญาเอกทางมานุษยวิทยา"
      เขาก้มศีรษะให้กับหญิงสาว ผู้ถูกแนะนำเป็นคนสุดท้ายอีกครั้ง หล่อนดูเหมือนจะยิ้มให้นิดหนึ่ง และก้มศีรษะตอบรับอย่างไว้ตัว
     "เชิญนั่งซิครับคุณรพินทร์ ผมรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้พบคุณตามที่เจตนาไว้"
     เชษฐา วราฤทธิ์ นายพันโทนอกราชการกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ สุภาพอ่อนโยนพร้อมกับยิ้ม
18
      ทั้งหมดนั่งลงตามเดิม รวมทั้งรพินทร์ ผู้หย่อนตัวเป็นคนสุดท้ายอย่างงงๆ อยู่เช่นเดิม พันตรีไชยยันต์ เป็นคนรินบรั่นดีให้เขา
      พรานใหญ่ไม่อาจเดาถูกว่าคนทั้งสามที่มารอพบเขาในขณะนี้ มีวัตถุประสงค์เช่นไร บอกกับตนเองตามความสังเกตเท่าที่เห็นผาดๆในขณะนี้ว่า ม.ร.ว. เชษฐา เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 35 ปี ลักษณะสุขุม เยือกเย็น ผิวพรรณท่วงท่าบอกชัดว่าเป็นราชสกุล แต่ก็ดูเข้มแข็งบึกบึนอย่างชายชาตรีแท้ พันตรีไชยยันต์ คงอายุไม่เกิน 35 ปี คุณลักษณะของเขาเป็นทั้งบุรุษเจ้าสำราญ และนักเผชิญโชคเผชิญภัยปะปนกันอยู่ชนิดแยกกันไม่ออก
      ส่วน'หญิงสาวผู้นั้น'มีอะไรที่สะดุดตาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือทรวดทรง หล่อนซ่อนร่างโปร่งได้ส่วนสัดอยู่ในแสล็คอันเป็นยีนส์ขาวและเชิ้ตสปอร์ตสีน้ำเงินเข้ม ตัดผิวสีมะปรางดูโดดเด่น มองเห็นความสมบูรณ์งามของสัดส่วนได้อย่างถนัด เห็นจะไม่ใช่สาวน้อยแรกผลิหรอก ชำเลืองด้วยหางตาก็พอจะคำนวณได้ว่า อายุของหล่อนไม่ต่ำกว่า 25-26 ปี
      เขาไม่สงสัยสัดนิดเดียวว่าหล่อนเป็นน้องสาวของ ม.ร.ว. เชษฐา เพราะประพิมพ์ประพายบนใบหน้าใกล้เคียงกันอยู่ แต่ออกจะกังขาอยู่ครามครันว่าหม่อมราชวงศ์หญิงคนสวยนี่นะหรือ คือ แพทย์หญิงและนักศึกษามนุษยวิทยา ผู้กำลังจะทำปริญญาเอก
19
      หล่อนน่าจะเป็นนางแบบแสดงแฟชั่นจะเหมาะกว่า
      อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ลักษณะของหล่อนเย่อหยิ่งไว้ตัวเหลือประมาณ ดูจะผิดไปกับพี่ชายลิบลับ
      หม่อมราชวงศ์หญิงดาริน วราฤทธิ์ คนนี้!!


     "เราได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้ว เพิ่งจะได้พบตัวจริงวันนี้เอง"
      ไชยยันต์เอ่ยขึ้นบ้าง ส่งแก้วบรั่นดีมาให้
     "ประทานโทษ มีอะไรที่ผมจะรับใช้ได้หรือครับ?"
      รพินทร์ถามขึ้นเบาๆอย่างสุภาพ พร้อมกับมองตื่นๆไปทางนายอำพล เสมือนจะขอคำตอบจากภาวะงงงัน จับต้นชนปลายเดาเรื่องไม่ถูกในขณะนี้
     "เชิญคุณชายเริ่มพูดธุระได้เลยครับ ว่ากันไปตามสบายเลยไม่ต้องเป็นห่วง ระหว่างผมกับคุณรพินทร์ไม่มีเรื่องเร่งร้อนอะไรกันนักหรอก และถึงอย่างไรคุณรพินทร์ก็จะต้องพักอยู่ที่ตำบลนี้อย่างน้อย 1-3 คืน ก่อนที่จะกลับเข้าป่า เวลาที่จะสนทนาหารือกันมีพอเพียงทีเดียว"
      ความเงียบปกคลุมไปชั่วขณะ
      อดีตฑูตทหารบกเชื้อพระวงศ์ควักกล้องออกมาบรรจุสูบ สีหน้าของเขาดูจะขรึมเคร่งลง มีอะไรบางสิ่งบางอย่างส่อแววกังวลปรากฏชัดออกมาในแววตา ขณะที่มองจับนิ่งมายังพรานใหญ่
     "คุณรพินทร์"
20
      ครั้นแล้ว ม.ร.ว. เชษฐาก็เริ่มขึ้นด้วยเสียงแผ่วต่ำ
     "เมื่อปีกลายนี้ คุณท่องเที่ยวอยู่ในดงแถบหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า 'โป่งกระทิง'ทางทิศเหนือของ 'หนองน้ำแห้ง'ใช่ไหมครับ?"
      จอมพรานขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วผงกศีรษะลง เต็มไปด้วยความกังขาอย่างไรพิกล ที่การเคลื่อนไหวของเขาอยู่ในการรู้เห็นของสุภาพบุรุษผู้นี้ ชีวิตป่าปราศจากความสลักสำคัญกับใครทั้งสิ้นของเขา ไม่จะเป็นที่สนใจของใครเลย
     "ครับ ผมอยู่แถวๆนั้น"
     "คุณไปตั้งสถานีดักสัตว์อยู่ที่นั่น"
      ไชยยันต์กล่าวสอดมาโดยเร็ว
     "ถูกแล้วครับ ผมไปตั้งแคมป์ดักสัตว์อยู่ที่นั่น และพักอยู่จนกระทั่งได้สัตว์ครบตามจำนวนที่ต้องการ"
      เชษฐาถอนหายใจหนักหน่วง สายตาที่จ้องมองดูเขาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนเร้นลับ
     "คุณเคยพบนักล่าสัตว์ชาวพระนครคนหนึ่ง ใช้ชื่อว่า 'ชด ประชากร'ที่นั่นบ้างไหม?"
      รพิทร์นิ่งเหมือนจะคิดทบทวนอยู่อีกอึดใจเดียว ก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง
     "ครับ ผมเคยพบ เขามาตั้งแคมป์อยู่ข้างๆแค้มป์ของผมประมาณ 2 อทิตย์ เพื่อพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางต่อไป เอ๊ะ!เรื่องนี้ดูเหมือนผมจะได้รรับจดหมายจากทนายความคนหนึ่ง เมื่อประมาณสัก 3-4 เดือนที่แล้วมา ขอสอบถามว่าผมทราบอะไร
21
เกี่ยวกับนักล่าสัตว์ชาวพระนครที่ชื่อชดผู้นี้บ้าง และผมก็ได้เขียนจดหมายตอบทนายความคนนั้นไปแล้ว เท่าที่ผมทราบในขณะนั้น"
     เชษฐา ไชยยันต์ และดาริน มองสบตากัน แล้วผ่านไปจับอยู่ที่ใบหน้าเขาเป็นตาเดียวตามเดิม เชษฐากล่าวต่อมาอย่างแช่มช้าระมัดระวัง
     "ทนายความที่จดหมายติดต่อสอบถามมายังคุณ เป็นทนายของผมเอง จดหมายของคุณได้ถูกส่งต่อมาให้ผม คุณบอกในจดหมายนั้นว่า สุภาพบุรุษชาวพระนครคนหนึ่งชื่อ ชด ประชากร ได้ออกเดินทางจาก 'โป่งกระทิง'เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม พร้อมด้วยพรานพื้นเมืองคนหนึ่งชื่อ 'หนานอิน'แจ้งความประสงค์ว่า เขาจะออกเดินทางบุกป่าไปยังหมู่บ้านกระเหรี่ยงไกลที่สุด คือ หมู่บ้าน 'หล่มช้าง'ซึ่งเป็นพรมแดนติดกับพม่า เขาบอกคุณว่า เขาจะทิ้งเกวียนและสัมภาระที่ไม่จำเป็นของเขาไว้ที่นั่น และออกเดินทางต่อไปด้วยเท้า คุณยังเล่าต่อไปว่า ชด ประชากร ได้เดินทางไปยังหมู่บ้าน 'หล่มช้าง' ตามที่เขาบอกคุณไว้ เพราะคุณได้ผ่านไปยังหมู่บ้านนั้นในโอกาสหนึ่งและได้เห็นเกวียนตลอดจนสัมภาะบางส่วนของเขาเท่าที่คุณจำได้ตกอยู่ในการดูแลของกระเหรี่ยงคนหนึ่ง ข่าวที่คุณทราบก็คือ ชดกับคนใช้อันเป็นพรานพื้นเมืองชื่อหนานอิน บุกลึกกันเข้าไปอย่างที่เขาเคยได้บอกกับคุณไว้ทุกอย่าง"
     "ครับ ผมเขียนเล่าไปเช่นนั้น"
      พรานใหญ่รับคำ แล้วต่างก็นิ่งเงียบกันไปอีกครู่ ม.ร.ว. หญิงดาริน วราฤทธิ์ ที่นั่งร่วมอยู่ด้วยอย่างสงบไม่ได้ปริปาก
22
คำใดทั้งสิ้นมาแต่แรก ขยับตัวอย่างอึดอัด ชะโงกไปหยิบบุหรี่ในกล่องกลางโต๊ะ รพินทร์ถือไลท์เตอร์เดาะเล่นอยู่ในมือก่อนแล้ว เขาจุดขึ้นในทันทีและยื่นส่งไปให้ ดวงตาคมกริบของหล่อนเหลือบขึ้นสบกับเขาอีกแว่บหนึ่ง ก่อนจะจุดดารินกล่าวขอบใจเบาๆ แล้วพ่นควันขึ้นสูง จะเป็นแพทย์หญิง จะเป็นนักศึกษาปริญญาเอกทางมานุษยวิทยา หรืออะไรก็ตามที่นายอำพลกล่าวแนะนำก็ตาม สำหรับสายตาของรพินทร์ขณะนี้ เขามองเห็นหล่อนเป็นเด็กที่ได้รับการพะนอเอาอกเอาใจมาเสียจนเคยตัว
     "คุณรพินทร์ครับ"
      พี่ชายเสียอีกที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน ได้กล่าวต่อมา
     "ผมคิดว่าคุณคงจะได้ระแคระคาย หรือมิฉะนั้นก็อาจจะเดาถึงต้นเหตุของการเดินทางของ ชด ประชากร ได้ถูก กรุณาให้ความจริงแก่ผมเถิดครับว่า เขาเดินทางฝ่าเข้าดงลึกกันดารครั้งนั้น ด้วยประสงค์อะไร?"
     "ผมเคยทราบมาบ้าง ในบางอย่างครับ"
      รพินทร์ ไพรวัลย์ เอ่ยขึ้นอย่างใคร่ครวญระมัดระวัง แต่แล้วก็หยุดชะงักนิ่งเสียเหมือนจะเปลี่ยนใจ ทำให้เชษฐาและไชยยันต์ทวีความร้อนรนกระสับกระส่ายยิ่งขึ้น รีบพูดมาว่า
    "ก่อนอื่นเพื่อตัดปัญหา ตัดความกังขาของคุณทุกชนิด ผมอยากจะเป็นฝ่ายเล่า หรืออธิบายอะไรให้คุณได้ฟังให้แจ่มแจ้งเสียก่อน"
    "ดีเหมือนกัน"
23
      ไชยยันต์เสริมมาโดยเร็ว หันไปมองดูสหายที่ร่วมคณะมาด้วย
     "อย่างน้อยคุณรพินทร์จะได้หมดสงสัยไปเสียที เขายังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ว่าเรามาพบเขาด้วยจุดประสงสค์อะไร เปิดศักราชแรกเริ่ม เราก็ตั้งคำถามเอากับเขาทั้งนั้น ราวกับจะมีการสอบสวนอะไรกันขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว"
     "ก็นั่นซิคะ พี่ใหญ่ก็...ชักช้าเสียเวลาอยู่ได้"
      นั่นเป็นประโยคแรกของม.ร.ว.หญิงดาริน ที่เขาได้ยินเป็นครั้งแรก หล่อนโพล่งออกมาอย่างรำคาญ ชะโงกตัวมาเขี่ยเถ้าบุหรี่แรงๆ
     "ก็บอกไปซิคะว่า นายชด ประชากร อะไรนั่น แท้ที่จริงก็คือน้องชายของพี่ใหญ่ และพี่ชายของน้อยเอง เราต้องการสืบเพื่อติดตามหาตัวบุคคลที่ใช้ชื่อปลอมอย่างนี้ และถ้าเป็นไปได้เราต้องการว่าจ้างนายพรานใหญ่อย่างเขาให้เป็นคนนำทาง"
      ระหว่างที่รพินทร์ยิ่งงุนงงหนัก พี่ชายหันไปมองดูน้องสาวด้วยสายตาตำหนิ พึมพำบ่นอะไรออกมาเบาๆ หญิงสาวหัวเราะ แปร่งๆ รู้สึกว่าหล่อนจะรำคาญวงสนทนานี้เต็มที ลุกขึ้นเดินสูบบุหรี่ไปยืนดูวิวอยู่ที่หน้าต่างเสีย ม.ร.ว.เชษฐาหันมาทางจอมพรานอีกครั้ง
     "ขออภัยนะครับ น้องสาวของผมออกจะเป็นคนใจร้อนสักหน่อย เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว น้องสาวคนเล็กของพี่ๆ ลูกสาวคนเล็กของพ่อแม่ ฤทธิ์เดชก็เลยมากเสียยิ่งกว่าเสือดำที่หลุดกรงเมื่อตะกี้นี้เสียอีก"
      พ.ต.ไชยยันต์สอดมาเบาๆ เหมือนจะบ่นกับตัวเอง แสดง
24

     
   ถึงความคุ้นเคยสนิทสนมกันมาอย่างมากมาย หล่อนดูเหมือนจะได้ยินเสียงนินทาของเพื่อนชาย ร้องตอบมาทั้งๆที่ยังยืนกอดอกทอดสายตาดูอะไรอยู่ที่หน้าต่าง
     "อย่ามาทำปากมากไปนะไชยยันต์ แผลไส้ติ่งของเธอที่ฉันเป็นคนผ่าไว้ มันอาจกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ พี่ใหญ่ก็เหมือนกัน เป็นตัวการต้นเหตุเรื่องยุ่งทีเดียว ก็ไม่เพราะพี่ใหญ่ทะเลาะกับพี่กลางอย่างรุนแรงหรอกเหรอ ท่านพ่อก็เข้าข้างพี่ใหญ่ทุกอย่าง จนกระทั่งพี่กลางต้องซัดเซพเนจรออกจากบ้าน กลายเป็นคนสาบสูญไปเช่นนี้ ขณะนั้น น้อยไม่ได้อยู่เมืองไทยร่วมเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย ถ้าน้อยอยู่น้อยจะไม่มีวันเข้าเข้าพี่ใหญ่อย่างเด็ดขาด และพี่กลางก็คงจะไม่ซัดเซไปถึงเพียงนี้ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"
      พี่ชายนิ่งเงียบ
      เพื่อนชายย่นหน้า แล้วหัวเราะหึๆ ไม่ได้ตอบอะไรอีกทั้งสิ้น
      นายอำพล ผู้จัดการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์'หัวเราะอ่อยๆท่าทางเต็มไปด้วยความพินอบพิเทาเอาอกเอาใจ ดูหล่อนจะเป็นที่เกรงใจของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาของบุคคลทั้งสามนี้ เป็นการมาที่ได้รับการต้อนรับขับสู้จากนายอำพลอย่างเต็มที่ อันแสดงถึงว่าเคยมีความสัมพันธ์เคารพนับถือกันมาก่อนเป็นทุนเดิม

      เดี๋ยวนี้แม้จะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกนัก รพินทร์ก็พอจะเดาได้รางๆว่าอะไรเป็นอะไร
25
      หม่อมราชวงศ์หญิงดาริน ยังคงยืนพิงอยู่ที่หน้าต่าง หันหน้าลงไปยังเบื้องล่างอันเป็นบริเวณกรงกักสัตว์ ตะวันบ่ายสาดจับร่างเพรียวระหงของหล่อน ทำให้สังเกตชัดไปหมดทุกส่วนสัดถนัดตากว่าขณะที่นั่งอยู่ สูงเกินกว่าขนาดรายเฉลี่ยทั่วไปของหญิงไทยเล็กน้อย ไหล่ผึ่ง เอวกิ่ว ตะโพกกลมหนา รับกับลำขาอวบใหญ่แข็งแรงภายในกางเกงยีนส์รัดรูป ผิวของหล่อนดูจะเข้มจัดกว่าพี่ชายเสียอีก เป็นผิวของคนที่นิยมกรำอยู่กลางแดดกลางลมอย่างนักกีฬากลางแจ้งทั้งหลาย จมูกเชิด แสดงถึงความรั้น ริมฝีปากบาง ส่อแววเจ้าอารมณ์ ถือดี ตาคมเฉียบ ฉลาด บางขณะก็อาจแฝงแววเขลา เพราะความอวดดีของตัวเอง วัยของหล่อนเจนโลกมาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับกร้าน
      รพินทร์พินิจหล่อนโดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็สะดุ้งเมื่อ ม.ร.ว.เชษฐาทำลายความเงียบขึ้นว่า
     "ถูกแล้วครับคุณรพินทร์ ชด ประชากร ที่พบคุณ แท้ที่จริงก็คือน้องชายของผมเอง และเป็นพี่ชายของดาริน เขาคือ ม.ร.ว.อนุชา วราฤทธิ์"
     "โอ!"
      พรานใหญ่อุทานออกมา บัดนี้เขาพอจะนึกออกแล้ว จริงสิ ครั้งแรกที่เขาโผล่เข้ามาเห็น ม.ร.ว.เชษฐา เขาบอกกับตัวเองคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่แล้วก็คือภาพความจำที่เขาเคยเห็นจากชด ประชากร นักล่าสัตว์พเนจรชาวกรุงคนนั้นนั่นเอง สองพี่น้องมีส่วนละม้ายกันมาก
     "เรามีกันอยู่สามคนพี่น้องครับ"
26
      เชษฐาเล่าต่อไปด้วยเสียงแหบต่ำ ในระหว่างที่ไชยยันต์และอำพลมีสีหน้าเศร้าสลดลง ดูเหมือนนคนทั้งสองจะรู้เหตุการณ์เรื่องราวมาก่อน
     "เขาเป็นน้องชายคนกลาง 5 ปีมาแล้วผมไม่นึกเลยว่าเราจะเกิดผิดใจและเป็นปากเสียงกันอย่างรุนแรง มันดูเหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของเราจริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องสามัญธรรมดาระหว่างพี่น้อง อันเปรียบเสมือนลิ้นกับฟันนั่นแหละ ผมยอมรับสารภาพว่าในขณะนั้นผมได้กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมต่อเขาเพราะความโกรธ"
      พ.ต.ไชยยันต์โคลงศีรษะช้าๆ และจุ๊ปากออกมาเบาๆ แน่ละเขาย่อมเป็นคนหนึ่งที่รู้เห็นเรื่องราวในระหว่างพี่น้องมาอย่างใกล้ชิด
     "ขณะนั้น ท่านพ่อของเรายังมีชีวิตอยู่ ท่านเข้าข้างผมในการทะเลาะกันของเรา เขาเตลิดเปิดเปิงหนีหายออกจากบ้านในที่สุดเจ้าพ่อของเราก็สิ้นลง เขาไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว และก็ไม่ได้หวนกลับเข้ามาในบ้านตระกูลอีก ผมเริ่มรู้สึกตัวในความใจดำของผมเอง และออกสืบหาติดตามเขา การสืบติดต่อกันมาเป็นปีๆ ทำให้ผมพอจะระแคะระคายเป็นเลาๆว่า เขาเปลี่ยนชื่อเป็น ชด ประชากร ออกบุกบั่นเดินป่าเพื่อแสวงหาโชคอย่างลมๆแล้งๆของเขา เหตุการณ์เหล่านี้ผมมาทราบเอาเมื่อ 3ปีให้หลัง ผมไม่มีโอกาสที่จะตามเขาได้พบเลยในระยะที่แล้วมา เพราะเขาไม่ยอมติดต่อส่งข่าวใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งครั้งล่าสุดผมเพิ่งจะได้ข่าวเขาจาก คุณรพินทร์ ซึ่งแจ้งไปทางทนายความของผม ผมได้ทราบว่าคุณรพินทร์ นอกจจากจะเป็น
27
พรานผู้ชำนาญ เป็นนักต่อสู้ตามแบบฉบับของลูกผู้ชายแท้จริงแล้ว ยังเป็นสุภาพบุรุษพอแก่การที่จะร่วมรับรู้ในเรื่องราวครอบครัวของผม ซึ่งถือว่าเป็นความลับ และอาจให้ความช่วยเหลือผมได้ จดหมายติดต่อของคุณกับทนายความของผม ให้ความหวังแก่ผมแล้วตั้งครึ่งตั้งค่อนในเรื่องที่ทราบถึงเหตุการณ์เคลื่อนไหวเกี่ยวกับอนุชาผู้เป็นน้องชายร่วมสายโลหิตของผมว่า ในครั้งสุดท้ายที่คุณเห็น เขายังปลอดภัยมีชีวิตอยู่ ซึ่งทำให้ผมมีหวังที่จะติดตามเขาพบ"
     "แกยังไม่ได้บอกคุณรพินทร์ให้ชัดเลยว่าเราต้องการความช่วยเหลืออย่างไร"
     พ.ต.ไชยยันต์ท้วงเตือนขึ้น
     "ผมต้องการติดตามตัวเขากลับคืนมาครับคุณรพินทร์ ไมว่าจะใช้งบประมาณทุ่มเทสักเท่าไหร่ และไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายสักขนาดไหน คนที่จะเสี่ยงชีวิตร่วมกับผมในครั้งนี้ก็คือไชยยันต์เขาเป็นนายทหารนอกราชการ ขณะนี้ชีวิตส่วนตัวของเขาก็ไม่มีจุดหมายปลายทางอะไรแน่นอน เป็นนักต่อสู้เผชิญโชคเผชิญภัยคนหนึ่ง ประวัติของเราคือ ผม อนุชา และไชยยันต์ เคยคบหาเล่นหัวคลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งสามคน เรารักกันมาก ขณะที่ผมเกิดเรื่องกับอนุชา ไชยยันต์ก็รู้เรื่องโดยตลอด แต่เขาไม่มีทางจะประสานเกลียวสัมพันธ์ของพี่น้องเราได้อย่างไร นอกจากความพลอยเป็นทุกข์วิตกแทน  เมื่อผมคิดขึ้นมาได้และตัดสินใจที่จะติดตามอนุชา ไชยยันต์ก็สนับสนุนเต็มที่ และเขาพร้อมแล้วที่จะร่วมทางไปกับผม ผมไปตามน้องชาย ส่วนเขาก็ถือว่าเขาไปตามเพื่อนรัก"
28
       ยังไม่ทันที่ ม.ร.ว.เชษฐาจะกล่าวจบประโยค ม.ร.ว.หญิงดารินก็หันกลับมา พร้อมกับพูดอย่างเยียบเย็นว่า
     "พี่ใหญ่และไชยยันต์ ไม่ควรจะลืมน้อยเสียอีกคนหนึ่งนะคะ และต้นเหตุในการที่จะคิดไปตามพี่กลางในครั้งนี้ ก็มาจากน้อยนั่นเอง กว่าพี่ใหญ่จะรู้สึกตัวว่าตัวเองผิด ก็ต้องทะเลาะอยู่กับน้อยหลายวัน จำไม่ได้เสียแล้วหรือคะ น้อยบอกพี่ใหญ่เองไม่ใช่หรือว่า ถ้าพี่ใหญ่ไม่คิดที่จะไปตามพี่กลางกลับ น้อยนี่แหละ จะออกติดตามเอง"
      สองชาย คนหนึ่งเป็นพี่ และอีกคนหนึ่งเป็นเพื่อน เงียบกริบกันไปอีก ได้แต่มองดูหน้ากันอย่างอึดอัด ม.ร.ว.ดารินหัวเราะแผ่วเบา เดินกลับเข้ามานั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง ตรงข้ามกับพรานใหญ่รพินทร์ ตาจับนิ่งอยู่ที่เขา แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงแจ่มชัดมีกังวานว่า
     "หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจที่จะเล่าอะไรให้เราฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับชายคนที่ใช้ชื่อว่าชด ประชากร"
      นั่นเป็นประโยคแรกที่หล่อนพูดกับเขาโดยตรงด้วยสีหน้าและแววตาแสดงอาการวิงวอน
      รพินทร์ ไพรวัลย์ มองประสานตาหล่อนเพียงแวบเดียว แล้วก็เมินไปจับอยู่ที่เชษฐาและไชยยันต์ เขาไม่อยากจะสนใจ ถือเป็นสาระอะไรกับหม่อมราชวงศ์หญิงคนสวยทำท่าดื้อๆ รั้นๆ ผิดผู้หญิงคนนี้
      หล่อนจะเป็นแพทย์หญิงหรือนักมานุษยวิทยา ก็น่าจะเป็นได้ แต่คงไม่ใช่นักเดินป่าแน่ๆ เขาคิด...
29

3

                    "คุณทราบอะไรเกี่ยวกับการเดินทางของน้องชายผมที่โป่งกระทิงบ้างครับ
                      เชษฐา  
                      กล่าวถาม ซ้ำ
                   "เท่าที่ผมทราบ ก็มีอย่างนี้ครับ "
                    รพินทร์พูดแช่มช้าด้วยนำเสียงระดับปกติของเขา
      "ว่าอันที่จริง ผมขอเรียนตามตรงว่าไม่ได้สนใจหรือเก็บมาคิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ คือคุณชด ประชากร ออกเดินทางไปครั้งนั้น นัยว่าเขาต้องการจะบุกบั่นไปค้นหาขุมเพชรพระอุมา"
      "ขุมเพชรพระอุมา!"
      ทั้งสามอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไป ไชยยันต์รีบถามต่อมาโดยเร็ว หน้าตื่น
30
     "หมายความว่าอะไรกันครับ เราไม่เข้าใจเลย กรุณาอธิบายให้ละเอียดสักนิด"
      พรานใหญ่ยักไหล่นิดหนึ่ง สีหน้าของเขาขรึมสงบเฉยเมยอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกันข้ามกับผู้เป็นแขกทั้งสามซึ่งเต็มไปด้วยความเร่าร้อนกระสับกระส่าย

     "เรื่องมันสบับซับซ้อนมากครับ ถ้าจะพูดไปก็เหมือนกับนิยายนั่นแหละ เอาละ ไหนๆคุณก็ได้บุกบั่นมาจนพบผมแล้วด้วยเจตนาอันแน่วแน่ ผมก็ยินดีที่จะเล่าอะไรให้พวกคุณฟัง ตามที่ผมได้ยินได้ฟังมา แต่ก่อนอื่นผมขอสัญญาก่อน"
     "สัญญาอะไร?"
      ผู้พูดคือ ม.ร.ว.หญิงดาริน หล่อนจ้องเขาตาไม่กะพริบ
     "เมื่อผมเล่า พวกคุณจะไม่หัวเราะเยาะ หรือขัดคอขวางลำขึ้นกลางคัน เรื่องมันออกจะพิสดารอยู่สักหน่อย"
     "เราขอรับรองด้วยเกียรติครับคุณรพินทร์"
      เชษฐาพูดหนักแน่นจริงจัง
     "และเราพร้อมแล้ว ที่จะรับฟังคุณอย่างเคารพทีเดียว"
      ไชยยันต์รีบพูดรับรองมาอีกคนหนึ่ง

      เขาเว้นระยะไปครู่ใหญ่ ก็เริ่มขึ้นว่า
     "คำว่า ขุมเพชรพระอุมา นี้ เท่าที่ผมจำได้ ผมได้ยินมาเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณสิบปีล่วงมาแล้ว สมัยนั้นผมยังเป็นพรานฝึกหัด ล่าเลียงผาอยู่แถวๆทุ่งพลายงาม คนแรกที่เล่านิทานเรื่องนี้ให้ผมฟังเป็นพรานพื้นเมือง ชื่อ 'หนานไพร' น่า
31
เสียดายที่แกตายเสียภายในหนึ่งขวบปีให้หลัง เพราะบาดแผลจากเขาของกระทิง หลังจากที่ได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ผมฟัง ขณะที่แกเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังนั้น เป็นคืนวันหนึ่งที่เรานั่งห้างดักยิงเสือที่จะลงมากินซากช้างอยู่ด้วยกัน เราคุยกันสารพัดเรื่องเป็นการฆ่าเวลารอให้พระอาทิตย์ขึ้น เพราะเชื่อแน่ว่าคืนนั้นฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว จะอย่างไรเสีย ไอ้ลายตัวขนาดแปดศอกที่เราตามพิฆาตมันมาตลอดสองอาทิตย์ คงจะไม่ลงมากินซากช้างในคืนนั้นแน่ๆผมชวนแกคุยเล่าให้ฟังถึงพิษสงของลูกระเบิดจากเครื่องบินที่ผมเคยเห็นในสมัยเด็กๆ ตอนสงครามโลกคร้งที่สอง"

     "นี่แน่ะ"
      ทันใดนั้น แกก็พูดขัดลำขึ้น
     "ผมจะเล่านิทานให้คุณฟัง พิลึกกึกกือกว่าที่คุณเล่าให้ผมฟังเสียอีก จะฟังไหมล่ะ"
      ผมยิ้ม แล้วก็พยักหน้า แกก็เริ่มต้นเล่าให้ผมฟังถึงเหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับนครลี้ลับหลงสำรวจ ประเภทเดียวกับนครลับแล ยังดินแดนอันห่างไกล ท่ามกลางป่าลึก เรื่องที่แกเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของความเจริญรุ่งเรืองในสมัยโบราณ ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะมีการจารึก และมหาสมบัติลี้ลับเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ซึ่งในปัจจุบันถูกกลืนหายเข้าไปในความมืด และความป่าเถื่อนของดินแดนอันลี้ลับนั้น ถึงแม้จะฟังในลักษณะนิทาน ผมก็เงี่ยหูฟังแกอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง ข้อความเหล่านั้น มันฝัง
32
แน่น สะกิดเตือนอยู่ในความทรงจำผมมาตลอด จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เหมือนภาพฝันประทับใจอันยากที่จะลืม
      ครั้นแล้วในทันทีทันใดนั้น หนานไพรก็ถามผมว่า
     "นี่ คุณเคยได้ยินชื่อ 'ขุนเขาพระศิวะ'ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสันเขาตะนาวศรีมาบ้างไหม?"
      ผมตอบแกไปอย่างขันๆว่าไม่เคยได้ยินชื่อภูเขาที่แกว่าและอธิบายให้แกฟังว่า ภูเขาชื่อชนิดนั้น ไม่เคยปรากฎอยู่ในแผนที่ของภูมิศาสตร์
     "อ้าว!นี่แหละ คุณเป็นเด็กรุ่นหลัง เป็นคนสมัยใหม่ จะไปรู้อะไร"
      หนานไพรกลับยิ้มเยาะผม
     "ขุนเขาพระศิวะ ก็คือสถานที่เก็บสมบัติของพระอุมา ในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีค่านานาชนิด รวมทั้งเพชรพลอยแก้วแหวนเงินทองเป็นตุ่มๆไหๆ แต่ก็นั่นแหละนะ ต่อให้คุณบุกบั่นเดินทางไปด้วยความพยายามสักเพียงใดก็ตาม ถ้าโชคไม่เป็นของคุณ บุญวาสนาไม่ถึง คุณก็จะไม่มีวันเห็นภูเขาลูกนี้ได้เลย พวกภูตผีปิศาจเจ้าป่าเจ้าเขา จะปิดบังอำพรางไว้ไม่ให้ใครมองเห็น มันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์"
     "ลุงไปเอานิทานหลอกเด็กเรื่องนี้มาจากไหน?"
      ผมถาม
     "จะว่ามันเป็นนิทานก็ไม่เชิงนัก พระธุดงค์พม่าองค์หนึ่งท่านเล่าให้ผมฟัง ท่านบอกว่า มีนครอยู่นครหนึ่ง ตั้งอยู่ในระหว่างหุบเขาลูกนั้น เป็นนครใหญ่ยิ่งทีเดียว พลเมืองเป็นคนเผ่าหนึ่ง
33
ต้นสาขามาของเผ่าที่เป็นเจ้าของถิ่นสวรรณภูมิเดิม เป็นพวกที่รู้ความลับของสมบัติมหาศาลของพระอุมา และเก็บรักษาเฝ้าพิทักษ์อยู่ มันก็อาจเป็นเมืองในนิทานนั่นแหละคุณ เพราะไม่ว่าโลกภายนอกจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจริญขึ้นเช่นไร นครนี้ก็ยังคงเป็นนครโบราณเหมือนเมื่อพันๆปีก่อนนี้อยู่ตามเดิม"
      กล่าวจบ แกก็หัวเราะ ควักหมากที่พกติดย่ามละว้าของแกขึ้นมาเคี้ยว ผมเองก็พลอยหัวเราะไปกับแกด้วย  ต่อจากนี้น หนานไพรกับผมก็แยกจากกัน และแกไปถึงแก่ชีวิตเพราะกระทิงตามที่ผมได้เล่าให้ฟังแล้วแต่แรก

      ผมดูเหมือนจะลืมเรื่องที่พรานเฒ่าหนาไพรเล่าให้ฟังในคืนนั้นเสียอย่างสนิท เกี่ยวกับขุมเพชรพระอุมาและนครหลงสำรวจที่ตั้งอยู่หลังขุนเขาพระศิวะ จนกระทั่งมาสะดุดหูสะดุดใจซ้ำเข้าอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์มันผ่านมาเป็นเวลาถึง 5 ปีหลังจากนั้น ดังเช่นเรื่องราวต่อไปที่ผมจะเล่านี่

      ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านป่าเรียกกันว่าหมู่บ้าน 'เสือร้อง' มันเป็นแหล่งแห้งแล้งกันดารที่สุด ชาวป่าพากันอดอยากแร้นแค้นทั้งน้ำและอาหาร ผมผ่านเข้าไปโดยบังเอิญ เพราะตามช้างงาโขลงหนึ่งที่ผมแกะรอยสะกดหลังมันมาเป็นเวลาแรมเดือน ผมเองล้มเจ็บลงที่นั่น และตกอยู่ในสภาพทุเรศเหมือนๆกับชาวบ้านทั่วไปในขณะนั้น
      ระหว่างที่ผมนอนแซ่วซมอยู่ วันหนึ่งมีนักเดินป่าชาวพม่า
34
คนหนึ่งได้มาถึงที่นั่น พร้อมกับเพื่อนักเดินป่าครึ่งพม่าครึ่งทวายของเขา และเขาก็เกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นที่นั่นด้วย เราได้รู้จักกันเผินๆ เขาบอกผมว่าเขาชื่อ 'เนวิน'บ้านเดิมอยู่ที่เมาะลำเลิง

  เขาพักอยู่ในหมู่บ้านนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ พออาการป่วยทุเลาลง เขาก็เริ่มต้นออกเดินทางต่อไป
 "ลาก่อนละนะ สหาย"
เขาโบกมือลากับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่เราจะจากกัน
"ถ้าโลกมันกลมจริง ถ้าผมหรือคุณไม่ตายไปเสียก่อนและเราบังเอิญได้พบกันอีก ผมจะเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และผมจะไม่ลืมคุณเลย"
     ผมหัวเราะ แล้วเฝ้ามองดูเขาซึ่งกำลังบ่ายหน้าตัดออกสู่ดงดิบ มุ่งไปทางตะวันตก ยังประหลาดใจอยู่ว่า เขาจะเดินทางบุกบั่นไปไหน เพื่ออะไร และสติดเขาดีครบถ้วนหรือเปล่าในการที่จะเดินทางเอาชีวิตไปทิ้งเสียในป่าทึบกันดาร ที่ไม่ปรากฏว่าเท้าของมนุษย์เหยียบย่างเข้าไปถึงนั้น

     อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป อาการของผมดีขึ้นบ้าง เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าแคมป์เล็กๆของผม ที่ปลูกติดอยู่กับดงทึบ ตาจับจ้องอยู่ที่ดวงอาทิตย์สาดแสงสลัวๆกำลังจะลับเหลี่ยมเขาทะมึนเบื้องหน้า

      ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นร่างของใครคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดเดินป่าของคนที่เจริญแล้ว ปรากฎขึ้นบนพื้นลาดของเชิงเขาเตี้ยริมห้วย
35
ตรงกันข้ามกับที่ผมนั่งอยู่ ห่างกันประมาณสัก300เมตร ร่างนั้นกำลังคลานอยู่กับพื้น แล้วพยุงกายลุกขึ้นอย่างโผเผ เดินโซซัดโซเซไปมาสองสามก้าว ก็ล้มฮวบลงไปหมอบคลานอยู่กับพื้นอีก รู้สึกว่าจะเป็นใครสักคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนัก
     "ผมสั่งให้คนใช้อันเป็นกระเหรี่ยงของผมไปช่วยเขา และเมื่อเขาถูกนำมา พวกคุณทายถูกไหมครับว่า เขาควรจะเป็นใคร"
      จอมพรานภามขึ้น ขณะที่มองดูหน้าผู้ที่ร่วมฟังเขาเล่าอยู่ในขณะนี้
     "เนวิน พม่านักเดินป่าคนนั้นกระมัง"
      ม.ร.ว.เชษฐาพูดต่ำๆ สีหน้าของทุกคนที่ฟังเขาเล่าอยู่ในขณะนี้ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนใจยิ่ง
      รพินทร์ก้มศีรษะลง
     "ครับ เนวินหนุ่มนักเผชิญโชคชาวพม่าคนนั้น หรือมิฉะนั้นถ้าไม่ใช่ตัวเขา ก็เป็นหนังที่หุ้มกระดูกของเขา!ใบหน้าของเนวินยามนั้นเหลืองจัดด้วยโรคดีซ่าน และไข้ป่า ดวงตาสีดำเหลือกลาน เนื้อของเขาดูเหมือนจะหายไปหมดสิ้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากหนังอันเหลือแห้งหุ้มกระดูกอยู่ ผมของเขาที่เคยเป็นสีดำ ขณะนั้นกลายมาเป็นสีเทา"
     "น้ำ!"
      เขาร้องครวญครางขึ้นแหบๆ ฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง ผม
36
เห็นริมฝีปากของเขาแห้งผาก แตกเป็นสะเก็ด ลิ้นสีดำคล้ำยื่นออกมาจุกอยู่ที่ริมฝีปาก
      ผมเอาน้ำในกระติกประคองจรดกับริมฝีปากของเขาเนวินดื่มมันอย่างกระหายจนหมด แล้วอาการของเขาก็ทรุดหนักลงอีก ผมจัดที่ให้เขานอน เขาก็เริ่มเพ้อถึงเรื่องเทือกเขาพระศิวะและมหาสมบัติ ป่าลึก ดงดิบ ผมช่วยเหลือเยียวยาเขาไปตามมีตามเกิด ทั้งที่ผมก้รู้ว่าจะอย่างไรเสีย ในคืนนั้นเขาก็คงต้องถึงแก่ความตายแน่ๆ

      ประมาณเกือบเที่ยงคืน อาการของเขาสงบความทุรนทุรายกระสับกระส่ายลงบ้าง หลับนิ่งไปชั่วครู่ ขณะที่ผมตื่นขึ้นอีกครั้งเป็นเวลาใกล้รุ่ง จากแสงตะเกียงรั้วที่ผมจุดทิ้งไว้หน้าแค้มป์ ผมมองเห็นเนวินกำลังลุกขึ้นนั่งด้วย ลักษณะอาการประหลาด และจ้องฝ่าออกไปยังดงดิบที่มีขุนเขาเป็นทิวทะมึนขวางอยู่ลิบๆ ขณะนั้น รัศมีอ่อนๆของดวงอาทิตย์เริ่มกระจายขึ้นอาบแผ่นฟ้า ทำให้มองเห็นภาพภายนอกแค้มป์ได้รางๆ
     "มันอยู่ที่นั่น!"
      เนวินใกล้กับกาลมรณะ ร้องลั่นออกมา พร้อมกับชี้มืออันมีแต่กระดูกของเขาออกไป
     "แต่ฉันจะไม่มีวันได้ไปถึงมันอีกแน่นอน และก็จะไม่มีใครสามารถไปถึงมันได้เลย"
      แล้วเขาก็หยุดชะงัก รู้สึกว่าเขากำลังพยายามรวบรวมสติพลังใจแน่วแน่เป็นครั้งสุดท้าย ตาจ้องจับอยู่ที่ผมผู้ประคองเขาอยู่
37
     "เพื่อนยาก คุณเองหรอกหรือ  ตาผมฝาดไปหรือเปล่า"
     "ทำใจดีๆไว้ เนวิน นี่ผมเอง รพินทร์ สหายของคุณ นอนพักเสียเถอะ"
     "ผมกำลังจะพักในไม่ช้านี้แหละ"
     เขาพึมพำ ตาที่เบิกโพลงค้างกระด้างจับอยู่ที่ผมอย่างปราศจากแวว
     "จะเป็นการพักที่ไม่มีวันสิ้นสุด ผมรู้ตัวดี รพินทร์ ผมกำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว คุณดีกับผมเหลือเกิน ก่อนที่ผมะตาย ผมอยากจะมอบอะไรให้คุณสักอย่างหนึ่ง เป็นการตอบแทนในข้อที่ว่า ผมได้มาตายอยู่ในความเอื้ออารีของคุณ สิ่งที่ผมจะให้คุณก็คือ ลายแทง บางทีคุณอาจบุกบั่นฟันฝ่าไปจนถึงที่นั่นก็ได้ ถ้าหากคุณสามารถเดินทางผ่านความยากแค้นทุรกันดารของดงมหากาฬที่ได้ฆ่าผมแล้วนี้สำเร็จ"
      พร้อมกับพูด เขาพยายามที่จะล้วงลงไปในอกเสื้อเดินป่าเพื่อดึงเอาสิ่งหนึ่งออกมา ซึ่งผมคิดวว่าคงเป็นถุงสำหรับใส่ยาสูบของพวกพม่า ทำด้วยหนังสัตว์จำพวกกวาง ผูกติดไว้ด้วยเชือกหนังยาวๆเส้นหนึ่ง เมื่องัดออกมาได้ เขาก็พยายามที่จะแก้มันออก แต่ไม่สำเร็จ มือเขาขณะนั้นแข็งไปหมด
     "แก้ทีซิ"
      เขาขอร้องผม ผมจึงแก้ออก พบว่า มันเป็นแผ่นหนังบางๆเก่าคร่ำคร่า บนแผ่นหนังโบราณแผ่นนั้น จารึกไว้ด้วยตัวอักษรอันเป็นอักขระพม่าสมัยโบราณ ดูเลอะเลือนเต็มที่ และมก็มีกระดาษอยู่อีกแผ่นหนึ่ง
38
     "กระดาษแผ่นนั้น คือความหมายอันเป็นคำแปลทั้งหมดของอักขระในหนังแผ่นนั้น"
      เนวินพูดด้วยเสียงแหบแผ่ว เพราะอาการของเขาทรุดลงเป็นลำดับ
     "มันกินเวลาหลายปี กว่าที่ผมจะศึกษาอ่านมันออก โดยแกะมันออกมาทีละคำด้วยความพยายาม ฟังนะ เพื่อนยากบรรพบุรุษแต่ครั้งโบราณของผม เป็นนายทหารชั้นแม่ทัพในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบุเรงนอง ที่หนีราชภัยออกจากกรุงหงสาวดี เป็นชาวพม่าคนแรกผู้ซึ่งสามารถบุกบั่นไปถึงป่าดงดิบในแถบนี้ อักขระเหล่านั้นที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหนัง เขาได้เขียนขึ้นไว้ในมือของเขาเองในขณะที่เขากำลังจะตายบนเทือกเขาลี้ลับโน้น ซึ่งไม่เคยมีมนุษย์คนใดย่างกรายเข้าไปถึง เขาคือมังมหานรธา ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อเกือบสี่ร้อยปีก่อนโน้น ทาสของเขารอคอยเขาอยู่อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาได้ไปพบเมื่อเขาตายเสียแล้วจึงนำเอาลายแทงกลีบไปยังถิ่นเดิมที่เมาะลำเลิง มันจึงเป็นสมบัติตกทอดอยู่ในตระกูลของผมตั้งแต่บัดนั้น แต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปอ่านความหมายของมัน จนกระทั่งตกมาถึงสมัยของผมซึ่งได้พยายามอ่านมันจนสำเร็จ แต่แล้วลายแทงนี้ก็นำความวิบัติมาสู่ตัวผมเอง ถึงผมจะตาย ผมก็มีความเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งจะต้องมีคนพยายามจนสำเร็จ และคนคนนั้นก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก คุณรับไว้เถิดรพินทร์ นี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ผมจะให้กับคุณ เก็บรักษาไว้กับตัวคุณเองอย่าแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด"
      แล้วเขาก็เริ่มทุรนทุรายอีก และต่อมาอีกหนึ่งชั่วโมง เขา
39
ก็ถึงแก่กรรม เขาตายอย่างสงบ ผมจัดการฝังศพเขาไว้ที่ชายดงแห่งนั้นอย่างลึก และใช้หินก้อนหนึ่งทับหลุมศพเขาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่า เจ้าพวกสัตว์ป่าจะไม่สามารถขุดศพเขาขึ้นมาได้ แล้วผมก็ออกเดินทางมาจากสถานที่นั้น
      รพินทร์ ไพรวัลย์ หยุดเว้นระยะการเล่า ด้วยการยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบ ท่ามกลางการสงบฟังอย่างตื่นตะลึงของทุกคน ม.ร.ว.หญิงดารินหันไปมองดูตาพี่ชายและเพื่อนหนุ่ม เปลือกตางามของหล่อนซอยถี่ๆ เชษฐากัดริมฝีปาก ส่วนไชยยันต์และอำพลผู้อำนวยการรินบรั่นดีให้ตนเอง ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
     "เรื่องพิสดารมากทีเดียวครับ"
      ผู้อำนวยการบริษัท 'ไทยไวล์ดไลฟ์'อันเป็นเจ้าภาพของการพบปะครั้งนี้ครางออกมา
     "แล้ว...เอกสารฉบับนั้นล่ะ?"
      ม.ร.ว.เชษฐาถามขึ้นเบาๆ
     "นั่นซิ"
     พ.ต.ไชยยันต์เสริมโดยเร็วอย่างกระตือรือร้น
     "เอกสารที่เนวินมอบให้คุณก่อนตายเหล่านั้น มันหมายความว่าอย่างไร"
      พรานใหญ่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็บอกว่า
     "เอาล่ะ เมื่อพวกคุณสนใจ ผมก็จะบอกให้ทราบไว้ ความจริงผมไม่เคยแพร่งพรายเรื่องนี้หรือเอาให้ใครดูเลย นอกจากพ่อค้าฝิ่นชาวพม่าขี้เมาคนหนึ่งซึ่งผมวานให้แปลให้ผม
40
พอแปลเสร็จเขาก็ลืมมันเสียในชั่วคืนเดียวนั้นเอง สำหรับแผ่นหนังลายแทง อันเป็นต้นฉบับเดิมนั้น ผมเก็บรักษาไว้ที่บ้านพัก อันเป็นสถานีดักสัตว์ของผมที่หนองน้ำแห้ง รวมทั้งฉบับที่แปลแล้วของเนวิน แต่ผมมีฉบับที่แปลแล้วเป็นภาษาไทย ติดอยู่ในซองธนบัตรอยู่ในกระเป๋าของผมนี่ พร้อมทั้งแผนที่จำลองนี่ยังไงครับ"
     พร้อมกับกล่าว รพินทร์ล้วงกระเป๋าหลัง หยิบซองธนบัตรขนาดใหญ่ออกมา ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งที่พับไว้เรียบร้อยส่งไปให้ ม.ร.ว.เชษฐา
      ทุกคนชะโงกหน้าเข้ามามุง ม.ร.ว.หญิงดาริน จึงดึงไปจากมือพี่ชาย และทำหน้าที่อ่านดังๆ
      "ข้าพเจ้า มังมหานรธา ผู้ซึ่งกำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วด้วยความหิวและความเจ็บไข้ ในถ้ำเล็กๆทางด้านเหนือของเต้านมด้านใต้สุดของภูเขาสองลูก ข้าพเจ้าขอให้ชื่อมันว่า 'ถันพระอุมา'ข้าพเจ้าได้เขียนข้อความนี้ขึ้น ณ ปีพุทธศักราช 2120 ด้วยเศษกระดูกจงอยปากนก สิ่งที่ข้าพเจ้าใช้เขียนส่วนหนึ่งของย่ามติดตัวที่ทำด้วยหนัง โดยใช้เลือดของข้าพเจ้าเองแทนหมึก หากทาสของข้าพเจ้ามาพบมันขณะที่ตามหาข้าพเจ้า เขาจะได้นำมันกลับไปยังเมาะลำเลิง ขอให้สหายของข้าพเจ้า(ชื่ออ่านไม่ออก)จงนำเอาเรื่องราวนี้ ขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระเจ้ากรุงหงสาวดีผู้ทรงพระปัญญา เพื่อพระองค์เสด็จยาตราทัพมาตามลายแทงนี้ หากว่ากองทัพของพระองค์ไม่แหลกลาญเสียก่อนในป่าดงขุนเขาอันกว้างใหญ่กันดารและ
41
ลี้ลับเต็มไปด้วยสรรพอันตราย และสามารถบุกเข้าไปจนถึงดินแดนแห่งความโหดเหี้ยม ทารุณ อันเต็มไปด้วยภูตผี และอาคม แห่งมรกตนคร พระองค์ก็จะเป็นพระมหากษัตริยืที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
      ข้าพเจ้าได้เห็นมหาสมบัติขุมเพชรพระอุมาอันเหลือคณา ภายในขุมทรัพย์พระอุมานี้แล้ว ด้วยตาของข้าพเจ้าเองปรากฎอยู่เบื้องหน้า ก่อนกาลมรณะของข้าพเจ้า แต่โดยการทรยศหักหลังของวาชิกา นางแม่มดมหาอุบาทว์ ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถนำออกมาได้ แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าเอง
      ขอให้ท่านผู้ที่มาตามทางในลายแทงนี้ จงพยายามฝ่าความทุรกันดารของ 'ถันพระอุมา' ทางเบื้องซ้ายจนบรรลุยอดของเต้านมแห่งขุนเขาลูกนี้ ทางด้านเหนือของมันจะเป็นถนนราบเรียบ กว้างใหญ่ ที่พระศิวะได้สร้างไว้ จากนั้นเป็นเวลาสามวันในการเดินทาง ตามถนนสายนั้น ก็จะบรรลุถึงมหาปราสาทของพระอุมาเทวี
     ขอให้ท่านจงสังหารแม่มดวาชิกาเสียด้วย เป็นการแก้แค้นให้แก่วิญญาณของข้าพเจ้า...
ลาก่อน
มังมหานรธา"
      ทุกคนอึ้ง แต่หญิงสาวผู้ทำหน้าที่อ่านดังๆผิวปากหวือออกมาเมื่ออ่านจบสีหน้าพรายไปด้วยรอยยิ้มขัน
     "คุณรพินทร์!"
42
     หล่อนเอ่ยเรียกนามเขาชัดเจนเสียงใส กลั้วไปกับอาการหัวเราะ
     "น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่ได้เอาต้นฉบับเดิมที่เขียนขึ้นด้วยมือของมังนรธาเองมาให้เราดูด้วย"
      แววตาและรอยยิ้มของหล่อนเต็มไปด้วยการเยาะหยัน
     "ขออภัยเถิดครับ"
     เขาหัวเราะต่ำๆ อยู่ในอาการปกติเหมือนเดิมไม่ยินดียินร้ายอะไรกับสีหน้าอาการของบุคคลที่นั่งฟังเรื่องที่เขาเล่าอยู่
     "สิ่งที่ผมเล่าเหล่านี้ มันเป็นการขอร้องอ้อนวอนของพวกคุณเอง และผมก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด ในการที่จะบรรยายถึงเรื่องที่คุณเห็นเป็นสิ่งขบขันเหล่านี้ และผมก็ขอเว้นที่จะออกความเห็นหรือโต้แย้งว่ามันเป็นความจริงหรือความเท็จใดๆทั้งสิ้น ผมทราบหรือผมเห็นอย่างไร ผมก็เล่าให้ฟังไปเช่นนั้น"
      ดารินยักไหล่
     "ถ้าคุณโกรธ ฉันขอโทษ ฉัน พี่ใหญ่ และไชยยันต์ เดินทางรอบโลกมาแล้วคนละสองครั้ง และก็ได้ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆมามากมาย แต่ฉันขอรับรองว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องอัศจรรย์พิลึกกึกกืออย่างนี้มาก่อนเลย นอกจากในนิทานหรือหนังสืออ่านเล่น "
     "ผมไม่ได้โกรธอะไรเลยครับ คุณหญิงดาริน มันเป็นสิทธิของคุณหญิงและทุกคนที่ได้ยิน จะนึกคิดเช่นนั้นได้"
      รพินทร์เน้นเสียงตอบชัดเจน ยิ้มนิดๆ ที่ริมฝีปากอันครึ้มไปด้วยเคราเขียว ม.ร.ว หญิงคนงามตวัดหางตาเหมือนจะค้อนให้
43
เพราะรู้สึกในนำเสียงกระแทกของคำว่า 'คุณหญิง'ที่เขาเรียกนั้น หล่อนเสือกเอาเอกสารแผ่นนั้นคืนมาให้เขา รพินทร์ ไพรวัลย์ พับเก็บหน้าตาเฉยพร้อมกับลุกขึ้นยืน แต่ ม.ร.ว.เชษฐารีบพูดขึ้นโดยเร็ว พร้อมกับเอื้อมมือมาฉุดแขนไว้
     "โปรดนั่งเถิดครับ คุณรพินทร์ ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวด้วย ผมทราบดีว่าคุณไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ในการที่จะมาเล่านิทานโกหกให้เราฟังโดยเจตนา แต่คุณก็ควรจะยอมรับว่า เรื่องนี้มันประหลาดเหลือเกิน"
     "ดูเหมือนผมจะเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผมเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ละก็ ทางฝ่ายคุณจะต้องระงับสติอารมณ์ให้ดีหน่อย ผมก็ทราบว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และตัวผมเองก็คิดว่ามันเหลือเชื่อ แต่บอกแล้วยังไงว่า ผมเล่าในสิ่งที่ผมได้เห็นได้ยิน และได้ฟังมา ไม่ได้รับรองยืนยันเลย ถ้าพวกคุณทั้งหมดสนใจในเรื่องนี้ อยากเห็นฉบับแท้จริง ซึ่งเป็นลายมือที่เขียนด้วยเลือกลงไว้ในแผ่นหนังโบราณละก็ ตามผมไปที่บ้านพักหนองน้ำแห้งเถิดครับ ผมยินดีที่จะให้พวกคุณเห็นและวินิจฉัยเอาเอง"
     "คุณยังไม่ได้เล่าให้เราฟังถึงชด ประชากร เลยครับ"
      พ.ต.ไชยยันต์ตัดบทมาอย่างอ่อนโยน
      พรานใหญ่หัวเราหึๆ อยู่ในลำคอ ชำเลืองไปทางม.ร.ว.ดารินอีกครั้ง คราวนี้หล่อนค้อนเอาจริงๆ สะบัดหน้าไปทางอื่นพอดีกับที่ผู้อำนวยการบริษัทมาช่วยวิงวอนขอร้องมาอีกคน เขาจึงทรุดกายลงนั่งตามเดิม
     "หนานอิน คนใช้อันเป็นพรานพื้นเมืองของคุณชด ผมรู้จักสนิทสนมดีมาก่อน"
44
      เขาเล่าต่อไป
     "เป็นพรานมือดีคนหนึ่งทีเดียว เช้าวันที่คุณชดจะออกเดินทาง ผมเห็นหนานอินยืนอยู่ข้างๆแค้มป์ของผม กำลังหั่นใบกัญชาอยู่กับตอไม้เกลี้ยง"

     "หนานอิน ลุงกับเจ้านายกำลังจะไปไหนกันน่ะ หาช้างงาหรอ?"
      ผมถาม
     "เปล่าครับ เจ้านาย เราจะเดินทางไปหาอะไรสักอย่างหนึ่งมีค่ายิ่งกว่างาเสียอีก"
     "อะไร ?พลอยกระมัง"
     "เปล่าครับ มีค่ายิ่งกว่านั้น"
      หนานอินยืนกราน หัวเราะยิงฟัน ผมก็ไม่ได้ภามเซ้าซี้อะไรเขาอีก และที่ถามก็ถามไปงั้นเอง ไม่เจตนาจะซอกแซกสอดรู้อะไร หนานอินหั่นและยำกัญชาใส่กระบอกสูบ อัดควันเข้าไปสองบ้อง ก็เดินเข้ามากระซิบกระซาบกับผม
     "เจ้านายครับ"
    "ฮืมม์ ว่าไง มีอะไรหรือลุงอิน"
     "ผม กับเจ้านายของผม กำลังจะเดินทางไปหาเพชร"
     "เพชร!"
      ผมอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
     "บ่ะ!อะไรกัน ไปหาเพชร เพชรที่ไหนกันในดงโน่น ลุงจะไปหาเพชร ลุงต้องไปเดินอยู่แถวบ้านหม้อในกรุงเทพซิ"
45
ผมสัพยอกเขาปนหัวเราะ แต่คราวนี้เขาไม่ได้หัวเราะหรือเห็นเป็นเรื่องขบขันด้วย พูดด้วยเสียงจริงจังขึ้น
     "เจ้านายไม่เคยได้ยินถึงขุนเขาพระศิวะมาบ้างเลยหรือครับ"
     ผมยิ่งหัวเราะดังขึ้น
     "เออว่ะ เคยได้ยินนิทานสับปะรังเคนั่นอยู่เหมือนกันแหละ ทำไม?"
     "ไม่ใช่นิทานครับ  เจ้านาย มันเป็นเรื่องจริง ครั้งหนึ่งผมได้รู้จักผู้หญิงชาวเขาคนหนึ่งหล่อนมาจากที่นั่น และมาถึงพร้อมกับลูกชายเล็กๆของหล่อน หล่อนเล่าให้ผมฟัง แต่เดี๋ยวนี้หล่อนตายเสียแล้ว"
     "เจ้านายของลุงจะกลายเป็นอาหารของอีแร้งเสียก่อนถ้าหากว่าเขาจะพยายามไปให้ถึงขุนเขาพระศิวะอย่างว่านั้น ลุงอินเองก็เหมือนกัน พวกหมาไนมันจะแทะกระดูกของลุงอย่างอร่อยทีเดียว"

      หนานอินยิ้ม ผมเห็นตาเขาเป็นประกายแห่งความเชื่อมั่นและหวังเต็มเปี่ยม
     "คนเราเกิดมามันก็ต้องตายทั้งนั้นแหละครับเจ้านาย ผมมันนักเผชิญภัยเสียด้วย ว่าอันที่จริง ช้างงาแถวนี้ก็ดูเหมือนจะลดน้อยหายากไปทุกวัน คนมันกวนหนัก"
     "ฉันเตือนลุงด้วยความหวังดีจริงๆนาลุงอิน บอกเจ้านายของลุงให้เปลี่ยนความตั้งใจเสียดีกว่า "
      เขาได้แต่หัวเราะแล้วผละไป
46
     ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมได้เห็นเกวียนของคุณชดเริ่มออกเดินทาง ทันใดนั้นเอง หนานอินก็วิ่งหน้าตั้งย้อนกลับมาที่แค้มป์ของผม พูดละล่ำละลัก
     "ผมลาก่อนละครับ เจ้านาย ชักสังหรณ์ไงพิกลในคำพูดของเจ้านาย แต่ถึงอย่างไร ผมก็ทิ้งคุณชดไม่ได้"
     "แปลว่าลุงกับเจ้านายไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่นะ"
     "ครับ"
     "ถ้างั้นคอยเดี๋ยว ฉันจะฝากอะไรไปให้เจ้านายของลุงหน่อย แต่ลุงจะสัญญากับฉันได้ไหมว่า จะยังไม่ส่งให้เขาจนกว่าจะเดินทางไปถึงหล่มช้าง"
     "ผมรับรองครับ"
      ดังนั้น ผมจึงรีบฉีกกระดาษโน๊ตแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเขียนข้อความลงไปว่า
      "ขอให้ท่านผู้ซึ่งมา จงฝ่าความทุรกันดารของ 'ถันพระอุมา'ทางเบื้องซ้าย จนบรรลุถึงยอดของเต้านมแห่งขุนเขานี้ ทางด้านเหนือของมันจะเป็นถนนราบเรียบกว้างใหญ่ ที่พระศิวะได้สร้างไว้ จากนั้นเป็นเวลาสามวันในการเดินทางตามถนนสายนั้น ก็จะบรรลุถึงมหาปราสาทของพระอุมาเทวี..."
     ข้อความที่ผมเขียน ก็คือข้อความที่ผมคัดลอกออกมาจากลายแทงของมหานรธาที่ผมได้รับมอบต่อมาจากเนวินที่ตายนั่นเอง ด้วยความคิดว่า ถ้าเขาบุกบั่นฟันฝ่าไปยังเทือกเขาพระศิวะจริง ข้อความเหล่านี้อาจเป็นผลประโยชน์แก่เขาได้บ้าง
47
     แล้วผมก็สั่งกับหนานอินว่า
      "นี่ลุงอิน เมื่อลุงเอาจดหมายของฉันให้กับเจ้านาย จงบอกเขาด้วยว่า เขาได้คำแนะนำที่ดีอันนี้โดยสิทธิ์ขาด จงไปตามนั้นเถิด อย่าเพิ่งให้เขาเดี๋ยวนี่นะ เพราะว่าฉันไม่ต้องการให้เขาย้อนกลับมาซักถามอะไรฉันอีก เอาล่ะ ลุงไปเถอะ เกวียนของคุณชุดกำลังจะลับไปโน่นแล้ว"
      หนานอินรับจดหมายจากผม แล้วก็รีบวิ่งผละตามเกวียนนั้นไป นี่เป็นเรื่องราวทั้งหมด ที่ผมรู้เห็นได้ประสบมากับตนเอง เกี่ยวกับน้องชายของคุณที่ใช้ชื่อว่า ชด ประชากร ผมเกรงเหลือเกินครับคุณเชษฐา เกรงว่า ..."
      พรานใหญ่หยุดพูดไปเสียเฉยๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ทุกคนคิดเอาเอง
    48

4

                         ภายหลังจากรินบรั่นดีเพิ่มเติมให้กับจอมพราน ผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมด และรินให้แก่ตน
                         เองยกขึ้นจิบแล้ว ม.ร.ว.เชษฐา พูดขึ้นด้วยเสียงชัดเจน หนักแน่น
      "คุณรพินทร์ครับ ผมได้ตัดสินใจเด็ดขาดแน่นอนแล้ว ผมกำลังจะออกเดินทางตามตัวน้องชายของผมจนกว่าจะพบเขา หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อรู้แน่จากคุณว่าเขามุ่งหน้าไปยังเทือกเขาพระศิวะ ผมก็จะบุกบั่นติดตามไปที่นั้น ปัญหามันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นขณะนี้ก็คือ ผมต้องการคนนำทางที่มีสมรรถภาพที่ผมไว้วางใจได้ หรือ พูดให้ตรงก็คือ ผมมองไม่เห็นใครเลยที่จะเหมาะสมเท่ากับคุณ"
      ความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง ทุกสายตาจับมาที่จอมพรานเป็นจุดเดียว เห็นเขาขยับตัวอย่างอึดอัด ยิ้มออกมาอย่างสำรวม
49
     "ก่อนอื่น ผมขอบคุณที่ให้เกียรติผม และผมก็ขอเรียนตามตรงเหมือนกันนว่าผมยังรักชีวิตของผมอยู่ แม้จะเป็นชีวิตที่แร้นแค้นยากเข็ญหาเช้ากินค่ำ อย่างที่ผมเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ลำพังผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมยังมีแม่ผู่อยู่ในอุปการะดูแลของผมอีกคนหนึ่ง ท่านแก่มากแล้ว และมีผมเป็นที่พึ่งของท่านเพียงคนเดียวในโลก"
      ทุกคนหันมามองดูตากันเองอีกครั้ง
     "คุณพูดเหมือนกับว่า การเดินทางของเราในครั้งนี้ คือ การเดินไปสู่ความตาย"
      ไชยยันต์ร้องออกมาเบาๆ
     "หรือจะพูดเสียใหม่ว่า ความคิดที่จะเดินทางไปยังเทือกเขาพระศิวะ เป็นความคิดที่โง่เขลาที่สุดก็ได้ครับ"
      รพินทร์ ไพรวัลย์ ตอบเรียบๆชนิดที่ทำให้ทั้งหมดอึ้ง
     "ก็ไหนกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักยังไงว่า เลือดของพรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์ข้นยิ่งกว่าน้ำมากนัก"
      ม.ร.ว.หญิงดาริน พูดมาลอยๆ พร้อมกับอาการยิ้มเยาะดูหล่อนเจตนาโดยตรงที่จะใช้วาจาอาการเป็นเครื่องกระตุ้นและเขาก็รู้ทัน ตอบหน้าตาเฉย
     "ครับ เป็นความจริง แต่คนเลือดข้นอย่างรพินทร์ ไพรวัลย์ ยังไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องฆ่าตัวตายเสียก่อน ด้วยการกระทำเช่นนั้น"
     "น้อย!ฉันอยากขอร้องให้เธอเฉยๆเสียก่อนดีกว่า"
50
พ.ต.ไชยยันต์หันไปมองดูตาเพื่อนสาวเชื้อสายราชสกุลผู้คลุกคลีสนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อยของเขา ด้วยสายตาปราม และพูดน้ำเสียงจริงจังขึ้นเป็นครั้งแรก หล่อนหัวเราะหึๆ ก้มลงคว้ามแมกกาซีนที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆ ขึ้นมาพลิกเปิดดูเสีย
     "ผมเชื่อพรานผู้จัดเจนและชำนาญทางอย่างคุณครับ ว่าการเดินทางไปยังเทือกเขาพระศิวะเป็นการเสี่ยงอันตรายที่สุด"
      ม.ร.ว.เชษฐากล่าวต่อมาด้วยความพยายาม
     "แต่ผมมีความมั่นใจในบางสิ่งบางอย่าง นั่นก็คือความเจตนาอันแน่วแน่และตั้งใจจริงของพวกเราทุกคน ซึ่งถ้าได้ผนวกกับฝีมือความสามารถอันเยี่ยมยอดของคุณแล้วผมคิดว่ามันคงไม่พ้นความพยายามไปได้ในการเดินทางครั้งนี้ ผมขอบอกตรงๆว่า ชีวิตของพวกเราทุกคนย่อมขอฝากไว้กับคุณคนเดียว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราพร้อมแล้วที่จะเผชิญ ต่อให้ความตายมาขวางหน้า ก็เปลี่ยนความตั้งใจของเราไม่ได้ ติดขัดอยู่ประการเดียว ก็เรื่องคุณเท่านั้น"
     "เราพร้อมแล้วที่จะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดไม่ว่างบประมาณจะสูงสักเพียงไร และยินดีที่จะสนองบุญคุณตอบแทนคุณ ด้วยค่าจ้างตามแต่คุณจะเสนอเรียกร้อง คุณไม่คิดจะให้ความหวังแก่เราบ้างเชียวหรือครับ"
      ไชยยันต์พูดมาอีกคนหนึ่ง
      นายอำพล ผู้อำนวยการบริษัทซึ่งนั่งฟังเงียบๆ ไม่แสดงความเห็นอะไรมาตลอด เอื้อมมือมาตบแขนจอมพราน
     "คณะของคุณชายจะเป็นนายทุนหมดทุกอย่าง รวมทั้งจ่ายค่าจ้างพิเศษล่วงหน้าให้แก่คุณ ตามแต่ที่คุณจะเรียกร้อง เพื่อ
51
ให้คุณเป็นพรานนำทางในครั้งนี้ ต้องการเพียงให้คุณนำไปยังเทือกเขาพระศิวะให้ถึงเท่านั้น ส่วนจะค้นพบคุณชายอนุชาหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ไม่เกี่ยวข้องกับเงื่อไขในการว่าจ้างคุณ ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสดีชนิดหนึ่งของคุณที่จะลองรับไว้พิจารณานะครับ พร้อมทั้งขอร้องวิงวอน ส่วนเรื่องคุณแม่ของคุณ ก็ไม่น่าจะเป็นห่วงอะไรเลยนี่ครับ คุณเรียกร้องหลักประกันไว้ให้ท่านล่วงหน้าได้เลย โดยให้ท่านรับเงินค่าเลี้ยงดูไปเป็นเงินสักก้อนหนึ่งหรือจะให้ทางคุณชายจ่ายให้เป็นรายเดือนตลอดไป จนกว่าจะถึงชีวิตที่สุดของชีวิตของท่าน ในกรณีที่คุณพลาดพลั้งเป็นอะไรลงไป คุณชายยอมเช่นนั้นไม่ใช่หรือครับ?"
       ประโยคหลัง เขาหันไปถาม ม.ร.ว.เชษฐา อดีตฑูตทหารบกเชื้อพระวงศ์ก้มศีรษะโดยเร็ว รับหนักแน่น
     "ครับ แน่นอน เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลย ผมบอกแล้วขอให้ทางคุณรพินทร์เรียกร้องมาเถิด ผมยอมทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่คุณรพินทร์จะเสี่ยงชีวิตคนเดียวเท่านั้น พวกเราก็เสี่ยงเท่ากันทั้งนั้น เพราะเราไปด้วยกัน ชีวิตเราฝากไว้แก่กัน"
      "ก็เหมือนเราลงเรือลำเดียวกันนั่นแหละ โดยมีคุณเป็นกัปตัน"
      ไชยยันต์พูดสรุปท้ายยิ้มๆ
      ทุกคนเห็นสีหน้าอันวางเฉยของรพินทร์ปรากฎรอยยิ้มกว้างๆออกมาเป็นครั้งแรก นัยน์ตาเป็นประกายพึงพอใจนิยมยกย่องจับอยู่ที่ใบหน้าของเชษฐาและไชยยันต์อย่างเปิดเผย
52
     "ผมขอคำนับให้แก่ความเป็นลูกผู้ชายและความเป็นักกีฬาของคุณทั้งสองครับ ผมเองยอมรับว่ายังไม่เคยเห็นใครมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดียวและกว้างขวางเหมือนอย่างคุณทั้งสองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกรุงที่มีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายผาสุกนานาประการ เราเลยปัญหาข้อนี้ไปเสียก่อนเถิด สมมุตินะครับ สมมุติว่าผมตกลงนำทางให้ และเราได้ไปถึงที่นั่นโดยไม่ตายเสียก่อน มิหนำซ้ำยังได้พบ 'ขุมเพชรพระอุมา'อันเป็นความฝันลมๆแล้งๆนี้ ฝ่ายคุณอันเป็นฝ่ายนายทุนผู้ว่าจ้างผม ได้คิดอะไรไว้บ้างแล้วหรือยังว่า เราจะจัดการกันอย่างไร"
     ม.ร.ว.เชษฐาตอบโดยไม่มีการลังเลเลยว่า
     "ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่าโชคลาภใดๆก็ตาม ที่เราจะไปประสบพบมันในการเดินทางครั้งนี้ เราจะแบ่งกันออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน คือ  ผมฝ่ายหนึ่ง ไชยยันต์ผู้ยอมเสี่ยงชีวิตมาด้วยฝ่ายหนึ่ง และคุณเองในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนร่วมเป็นร่วมตาย เพราะพรานนำทางอีกฝ่ายหนึ่งหรือเท่ากับเอาสามหาร ยุติธรรมดีไหมครับ?"

       จอมพรานลุกขึ้นยืน พร้อมกับก้มศีรษะให้เชษฐา
     "นี่เป็นข้อเสนอที่เผื่อแผ่ มีน้ำใจนักกีฬาเสียยิ่งกว่าที่ผมจะคิดและผมก็ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลยในชีวิตนักล่าสัตว์จนๆปราศจากความหมายใดๆ สำหรับใครทั้งสิ้นอย่างผม"
     "หมายความว่าคุณตกลง"
      ไชยยันต์ร้องออกมาอย่างลิงโลด"
53
     "มันเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สำคัญยิ่งในชีวิตของผมครับ ดังนั้นขอให้ผมได้มีเวลาใคร่ครวญอีกสักนิด จะให้คำตอบแก่พวกคุณได้ภายในไม่เกินสามวันนี้ ก่อนหน้าที่ผมจะกลับไปยังสถานีดักสัตว์ของผมที่หนองน้ำแห้ง ผมยังพักอยู่ที่ตำบลนี้อีก2-3วัน"
      ยกเว้นจากม.ร.ว.ดาริน ผู้อ่านหนังสือเฉยอยู่ในขณะนี้ทุกชายภายในห้องอันเป็นฝ่ายเจ้าภาพยืนขึ้นทั้งหมด นายอำพลผู้อำนวยการบริษัทจับแขนเขาไว้ พร้อมกับพูดอย่างกระตือรือร้นว่า
     "ถ้างั้นเย็นนี้ ผม คุณชาย และไชยยันต์และคุณหญิงดารินขอเป็นเจ้าภาพ เชิญคุณร่วมรับประทานอาหารเย็นที่นี่ คุณจะขัดข้องไหมครับ?"
     "ผมต้องขออภัยครับ เย็นนี้ผมบังเอิญไม่ว่าง เพราะติดนัดเลี้ยงพวกพรานพื้นเมือง เพื่อนเก่าๆของผมเสียแล้ว นานๆเราจะได้พบปะสังสรรค์รวมหมู่กันเสียที และผมเองก็เปรียบเหมือนหัวหน้าของเขาเหล่านั้นได้อาศัยพึ่งพาเขาอยู่เสมอ กรุณาอย่าให้ผมผิดนัดกับเขาเลยครับ"
     "ถ้างั้นคุณจะให้โอกาสนี้แก่เราได้เมื่อไหร่ครับ?"
      เชษฐาถามโดยเร็ว สีหน้าแช่มชื่นมีความหวังขึ้น
     "ถึงอย่างไร พวกผมก็จะต้องค้างพักอยู่กับคุณอำพลที่นี่ก่อน บอกตามตรง อยู่ที่นี่ก็เพื่อรอคำตอบจากคุณนั้นแหละครับ ซัก...พรุ่งนี้เที่ยง คุณพอจะปลีกเวลาได้ไหม?"
     "ได้ครับ"
      รพินทร์ตอบสั้นๆแล้วกล่าวอำลาทุกๆคน หยิบหมวกคาดด้วยหนังเสือดาวของเขาขึ้นมาสวมเดินดุ่มๆออกจากห้อง
55
นั้นไป ทั้งหมดมองตามร่างของพรานใหญ่ไปจนกระทั่งลับ แล้วมายืนดักอยู่ที่หน้าต่างบานเดิม เมื่อร่างเพรียวของรพินทร์เดินอยู่ยังบริเวณด้านล่าง อันเป็นสถานีดักสัตว์ของนายอำพล
     "บราโว่!เห็นจะพอมีหวัง หรือยังไงคุณอำพล"
      ไชยยันต์ร้องออกมา พลางหันมาขอความเห็นเจ้าของสถานที่
     "ครับ ผมก็คิดอย่างนั้น บางทีเราอาจจะได้คำตอบแน่นอนจากเขาในตอนเที่ยงพรุ่งนี้ก็ได้"
     "การไปครั้งนี้ ชีวิตของพวกเราทุกคนฝากไว้กับเขา"
     ม.ร.ว.เชษฐา อันเป็นหัวหน้าคณะ กล่าวขึ้นแผ่วเบาอย่างสุขุมรอบคอบ ขณะที่มองจับร่างอันเดินดุ่มๆของรพินทร์ซึ่งกำลังจะลับหายเข้าไปในรถจิ๊ปคันหนึ่ง
     "ถึงแม้ผมจะพอใจและมั่นใจในสมรรถภาพของเขาสักเพียงไรก็ตาม ขอให้ผมได้รับความเห็นจากคุณอีกครั้งเถิดคุณอำพลชีวิตอนาคตของเราทั้งหมด พอจะฝากไว้กับเขาได้แน่หรือ?"
     "เท่าที่ผมรู้จักเขามานะครับ คุณชาย ผมขอรับรองได้ในเฉพาะด้านความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นสุภาพบุรุษ"
      เชษฐาถอนใจออกมาอีกครั้ง พึมพำ
     "สองสิ่งนี้เท่านั้น เราพอใจแล้ว ให้ตายซิ มองเห็นเขา ได้พูดจาสนทนากับเขา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอันเป็นป่าเช่นนี้ ทำให้ผมอดนึกไปถึงพวก 'ไวท์ฮันเตอร์'หรือพวกพรานผิวขาวในแอฟริกาไม่ได้
55
นึกไม่ถึงว่าในป่าเมืองเรา จะมีพรานป่าที่เจริญแล้วพูดกันได้รู้เรื่องอย่างคนได้รบการศึกษาดีอย่างนี้"
     "แต่น้อยไม่ค่อยจะถูกชะตากับเขาเลย พรานไพรใจฉกาจคนนี้"
      ม.ร.ว.ดาริน กล่าวออกมาปนหัวเราtน้อยๆ
     "เห็นครั้งแรก พูดกันคำสองคำก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนยโสพอๆกับเลือดเย็น"
     หล่อนหันมาทางนายอำพล
     "อย่างน้อย คุณก็คงพอจะทราบประวัติของเขามาบ้าง ถ้าบอกให้เราได้รู้ไว้บ้างก็จะเป็นการดี อดีตของเขา ความเป็นมา"
        อำพลยิ้มอย่างสุภาพ แล้วตอบเรียบๆว่า
     "รพินทร์ ไพรวัลย์ เป็นนักเรียนนายทหารจากเยอรมณีครับ ยศเดิมของเขาคือร้อยตำรวจเอกประจำหน่วยตระเวนชายแดน เหตุผลในงการเมืองและการหมั่นผลัดเปลี่ยนเจ้านาย ทำให้เขาถูกปลด เขาไม่มีความรู้ความชำนาญอะไรมากไปกว่าการยิงปืนและการเดินป่า ถึงได้หันมายึดอาชีพนี้ ความจริงบรรพบุรุษเขาเองก็มีความชำนาญมาก่อน เป็นการสืบเชื้อสายโดยที่เขาก็อาจไม่ตั้งใจหรือรู้ตัวมาก่อน พูดภาษาชาวป่าได้ทุกแขนงและเดินป่าได้เหมือนพวกเราเดินไปตามถนนราชดำเนิน"
      คำบอกเล่าของผู้อำนวนการบริษัไทยไวล์ดไลฟ์ทำให้ทุกคนผงะตะลึงพริงเพริดไปในบัดนั้น
      "อกแตก!ต๊าย!"
      ม.ร.ว.หญิงดารินอุทานออกมา
  56
     "ตาพรานไพรใจฉกรรจ์ หน้าเหี้ยมราวกับโจรป่าคนนี้น่ะหรือนักเรียนเยอรมัน เคยเป็นร้อยตำรวจเอกตระเวนชายแดน"
     "ครับ คนนี้แหละ"
      หญิงสาวมีอาการเหมือนจะเป็นลม ชะโงกหน้ออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง ขณะนั้นจิ๊ปของรพินทร์กำลังเคลื่อนออกจากประตูสถานีกักสัตว์ของนายอำพลไป จะเป็นการบังเอิญหรืออะไรก็ตามที พรานใหญ่เหลือบขึ้นมาพบกับด้วงตาของหล่อนพอดี ดูเหมือนเขาจะยกมือขึ้นแตะกับปีกหมวกล่าสัตว์ ส่งคารวะน้อยๆมาให้แก่หล่อน ดารินกัดริมฝีปากจ้องจนลับตา

     "ไม่น่าเชื่อเลย มิน่าละ พูดจาเลี้ยวลดสำคัญนัก แต่ตีหน้าเซ่อทึ่มอย่างสนิท พี่ใหญ่คะ เปลี่ยนพรานนำทางใหม่เถอะขืนเอาคนนี้นำทาง มีหวังทะเลาะกับน้อยฆ่ากันตายเสียก่อนกลางทางแน่ๆ"
      หล่อนบ่นออกมาครึ่งหัวเราะครึ้งบึ้งกึ่งฉุนๆ แต่พี่ชายไม่ได้สนใจอะไรด้วย หันไปทางอำพล
     "โชคดีจริง ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าพรานของเราจะเป็นคนที่มีการศึกษาดีเยี่ยมมาแล้วเช่นนี้ จริงๆนะ เหมือนฝันไปงั้นแหละ ผมปลอดโปร่งใจเหลือเกิน แทบจะพูดได้เต็มปากว่าหมดความกังวลอะไรทุกอย่างแล้ว ต่อไปมันก็เป็นเรื่องของโชคหรือเคราะห์ที่เราจะเผชิญตามแต่บุญกรรมเท่านั้น"
     "ฉันก็สังหรณ์แต่แรกแล้ว"
      ไชยยันต์ว่า
 57
     "สังเกตดูลักษณะการพูดจา คุณรพินทร์เป็นคนที่มีการศึกษาดี ไม่ใช่พรานพื้นบ้านอย่างที่เราเข้าใจกันแต่แรก ว่าแต่น้อยเถอะ ทำไมถึงไปเขม่นเขาทั้งๆที่ชีวิตของเราทั้งหมดกำลังจะฝากอยู่กับเขา"
     "ไม่รุ!ฉันไม่ถูกชะตาเลย ตาพรานไพรคนนี้พูดจาอะไรขวางหูพิลึก"
      ม.ร.ว.หญิงคนสวยตอบสะบัดๆ
      คณะของม.ร.ว.เชษฐาทั้งหมดพักอยู่ในบ้านพักรับรองของนายอำพล ในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ ภายในสถานีกักสัตว์อันกว้างใหญ่ เรือนรับรองแขกเป็นตึกครึ่งไม้หลังใหญ่ ปลูกแบบทันสมัย ตั้งอยู่ทางด้านหลังของบริเวณแวดล้อมไปด้วยกรงนกนานาชนิด และพันธุ์ไม้ที่ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบงามตา ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษด้วยความเคารพนับถือ ทำให้ผู้อำนวยการบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ให้การรับรองแขกของเขาเป็นอย่างดียิ่ง
      วันรุ่งขึ้น ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขณะที่ทุกคนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีนายอำพลเจ้าของบ้านร่วมอยู่ด้วย รพินทร์ ไพรวัลย์ ก็โผล่เข้ามาตามเวลานัด
      วันนี้ จอมพรานดูเหมือนจะเรียบร้อยสดใสกว่าภาพที่อยู่ในชุดเดินป่าอันขะมุกขมอมเหมือนที่เห็นเมื่อวาน หนวดเคราอันเขียวครึ้มถูกโกนเกลี้ยง ทำให้มองเห็นผิวหน้าสีทองแดงได้ถนัดขึ้น
58
      ทุกคนต้อนรับทักทาย เว้นไว้แต่ ม.ร.ว. หญิงดาริน ผู้มองดูเฉยๆแม้ว่าเขาจะหันไปก้มศีรษะให้เป็นการคารวะตามธรรมเนียม วันนี้หล่อนอยู่ในเชิร์ตโปโล และกางเกงผ้ายืดรัดรูปทรงสีดอกตะแบก แจ่มเจิดเลิศลักษณ์น่าพิศวง แต่มันดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะ 'พรานไพรใจฉกาจ'(ที่หล่อนว่า)ไม่เห็นแสดงความตื่นเต้นสนใจอะไรเลยสักนิด ผิดกับผู้ชายสามัญธรรมดาที่หล่อนเคยเห็นมานักต่อนัก
     "ศรศิลป์ไม่กินกันเลย อีตาพรานป่าคนนี้!"
       หล่อนบ่นอุบอิบในลำคอคนเดียว แล้วโฉบหางตาค้อนให้อย่างไม่มีเหตุผล คนถูกค้อนคงไม่เห็นเพราะมัวแต่พูดอยู่กับคนอื่นๆ
      ทั้งหมดรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน และสนทนา คงมีผู้ร่วมวงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น คือ ราชกุลสาวคนสวย นอกนั้นพูดคุยกันอย่างสนุก รพินทร์ เล่าถึงชีวิตในป่าของเขาให้ทั้งหมดฟัง ตลอดระยะเวลาที่ร่วมรับประทานอาหาร แต่ไม่มีใครพูดข้องแวะไปถึงเรื่องสำคัญที่เป็นเป้าหมายพูดค้างกันไว้เมื่อวานนี้

      ภายหลังเวลาอาหารนายอำพลเชิญทุกคนกลับมานั่งสนทนาต่อกันที่ห้องนั่งเล่นตามเดิม ต่างสูบบุหรี่และดื่มบรั่นดี
     "คุณตกลงใจแล้วหรือยังครับ สำหรับเรื่องสำคัญที่เราพูดกันเมื่อวาน?"   
      ม.ร.ว.เชษฐาเริ่มขึ้นด้วยเสียงแจ่มใส
59
     "เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงจะไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง"
      ไชยยันต์เสริม จ้องหน้าพรานใหญ่นิ่ง ขณะนี้ รพินทร์ ไพรวัลย์ อัดควันบุหรี่ลึก และปล่อยให้มันค่อยๆระบายอออกมาทางปากและจมูก ตาสีเข้มของเขา ทอดจับไปยังหัวกระทิงขนาดใหญ่ซึ่งสตัฟฟ์ติดประดับไว้กับฝาผนัง
     "คงไม่มีอะไรขัดข้องไม่ใช่หรือครับ คุณรพินทร์"
     ผู้อำนวยการบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ อันเอาใจช่วยคณะที่มาจากกรุงเทพฯกล่าวมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
     "ขอให้ผมได้ถามย้ำอีกสักครั้ง"
     เขาพูดช้าๆ ด้วยเสียงห้าวกังวาล
     "พวกคุณแน่ใจแล้วหรือในการที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงครั้งนี้"
     "ไม่มีอะไรเคลือบแคลงเลย คุณรพินทร์"
     "ถ้าเช่นนั้นผมจะได้ยื่นข้อเสนอ"
     "เชิญเลยครับ เรากำลังรอฟังอยู่"
     ข้อที่หนึ่ง...คณะของคุณจะต้องออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นในการเดินทางครั้งนี้ ข้อที่สอง...ผลประโยชน์อันเกิดจากส่ิงมีค่าใดๆก็ตามที่เราอาจพบในการเดินทาง ผมจะต้องมีส่วนแบ่งด้วยหนึ่งในสาม ข้อที่สาม...คุณจะต้องจ่ายค่าจ้างผมเป็นจำนวนเงินสองแสนบาทล่วงหน้า ข้อที่สี่...ก่อนการออกเดินทางในครั้งนี้ คุณจะต้องตกลงทำสัญญาในกรณีแห่งความตายหรือความทุพพลภาพของผม โดยรับรองว่าถ้าเหตุการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้น คุณจะต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูอุปการะคุณแม่ของผมเดือนละสามพันบาท ทุกเดือนไปจนกว่าชีวิตของท่านจะสิ้น เป็นยังไงครับ ข้อเสนอของผม ออกจะมากมายเกินไปหรือเปล่า?"
60

     โดยไม่ต้องใคร่ครวญอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ม.ร.ว. เชษฐายิ้ม ส่งมือมาให้พรานใหญ่จับและบีบแน่น
     "ตกลงครับ ผมขอรับข้อเสนอนี้โดยไม่มีการต่อรองเกี่ยงงอนอะไรเลยทั้งสิ้น"
     "ผมจะรับใช้คุณอย่างซื่อสัตย์สุจริต จนกว่าคุณจะล้มเลิกผลงานของคุณเสียเอง หรือจนกว่าจะสำเร็จ มิฉะนั้นก็จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของพวกเราทุกคนในทันทีที่คุณทำสัญญาตามข้อเสนอของผมนี้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อย"
     ไชยยันต์ยิ้มแจ่มใส เข้ามาจับมือจอมพรานเขย่าโดยแรงอย่างยินดี นายอำพลพลอยตื่นปิติแสดงความยินดีกับทั้งสองฝ่าย ม.ร.ว.หญิงดารินเพียงแต่ยิ้มมุมปาก ใช้หางตาจับอยู่ที่พรานใหญ่เงียบๆ
     "เอาละครับ"
     รพินทร์พูด ยิ้มกร้านๆมองผ่านไปยังทุกคน
     "ไหนๆผมก็ได้ตกลงรับจ้างนำทางในครั้งนี้แล้ว ก็จะขอบอกกับทุกคนตามความสัตย์จริง คือผมไม่คิดเลยว่า เราจะได้กลับออกมาอีกในการมุ่งหน้าไปยังเทือกเขามรณะแห่งนี้ อะไรเป็นผลกรรมที่เกิดขึ้นกับมังมหานรธา เมื่อเกือบสี่ร้อยปีก่อนโน้น...อะไรที่เป็นบาปเคราะห์เกิดขึ้นกับเนวิน ผู้สืบตระกูลของเขาเมือ 5 ปีก่อนนี้ และอะไรที่จะบังเกิดขึ้นกับคุณชายอนุชาผู้เป็นน้องชายของคุณชายเชษฐา สิ่งนั้นแหละครับจะพลันบังเกิดขึ้นกับพวกเรา"
     คำพูดของเขา สร้างความเงียบงันให้แก่ทุกคนด้วยความรู้สึกภายในที่ไม่อาจทายถูก ม.ร.ว.เชษฐาคงมีสีหน้าเคร่งขรึมสงบ
61
เยือกเย็นเหมือนเดิม พ.ต.ไชยยันต์กะพริบตาหายใจขัดๆรู้สึกไม่ปลอดโปร่งนัก ม.ร.ว.หญิงดารินเม้มริมฝีปาก ส่วนนายอำพล ทั้งๆที่เขาเองไม่มีส่วนร่วมด้วยในการเดินทางคร้้งนี้ยังถึงกับหน้าซีด
     ในความเงียบงันไปชั่วขณะนั้น หม่อมราชวงศ์หญิงดาริน วราฤทธิ์ หัวเราะออกมาด้วยเสียงแหลมใส พร้อมกับพูดออกมาเป็นประโยคแรกของการอยู่ร่วมวงด้วยสำหรับวันนี้ว่า
     "ฉันไม่เข้าใจเลย นายพราน"
     หล่อนเน้นเรียกคำว่า 'นายพราน'อย่างเจตนา แทนที่จะเอ่ยเรียกนามของเขา
     "คุณตกลงรับจ้างที่จะนำทางให้แก่เราแล้ว แต่ทำไมถึงมาพูดอะไรเป็นการข่มหรือทำลายขวัญเราอย่างนี้"
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ไม่ได้มองไปทางหล่อน แต่คงมองจับนิ่งอยู่ที่ ม.ร.ว.เชษฐา ปากก็ตอบว่า
     "ผมเรียนแล้วว่า ผมพูดตามสัตย์จริง อันเป็นความรู้สึกของผมเอง"
     "เอาหล่ะ"
     หญิงสาวเดินอย่างมีสง่าจากผู้ไซด์บอร์ดที่หล่อนยืนพิงอยู่มาหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งทิศทางตรงเบื้องหน้าของเขา เหมือนจะบังคับให้เขามองดูหล่อนในขณะที่พูด
     "สมมุติว่าคุณก็รู้อยู่แล้วว่าเราจะไปตายกัน คุณเองก็เป็นคนนำทาง แล้วคุณตกลงทำไม"
62
     ครั้งนี้สายตาของพรานใหญ่แลไปประสานสายตาคมเฉียบของสาวสวยด้วยการมองตรง เต็มตา ริมฝีปากของเขาปรากฎร้อยยิ้มชนิดหนึ่ง
     "ผมมีเหตุผลในการตกลงรับจ้างครั้งนี้ครับ เป็นเหตุผลสองประการ"
     "อะไรบ้าง?"
     หล่อนเลิกคิ้ว เชิดหน้าถามสวนโดยเร็ว
     "ประการหนึ่ง ผมเป็นคนจน ค่าจ้างและเงื่อนไขที่ผมเรียกร้องเป็นการพอใจของผมแล้ว ในการที่จะเสี่ยงชีวิตครั้งนี้ มันอาจถูกไปหน่อยสำหรับราคาชีวิตคนบางคน แต่สำหรับผมเห็นว่าพอสมควรแล้ว ประการที่สอง การเดินทางครั้งนี้มีชีวิตที่ทรงค่ากว่าผมมากมายหลายเท่านัก ร่วมเสี่ยงภัยอยู่กับผมด้วย คือ คุณชายเชษฐา และพันตรีไชยยันต์ ก็เมื่อท่านท้ั้งสองยังกล้าเสี่ยง ทำไมเล่าคนอย่างผมจะไม่กล้า"
     คำตอบของเขา ทำให้หล่อนอึ้ง
     "ฉันคิดว่า พรุ่งนี้เราควรจะกลับกรุงเทพ จัดเตรียมอะไรเสียให้พร้อม แล้วก็กลับมาที่นี่โดยเร็วที่สุด พร้อมกับทนายความเพื่อทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรให้คุณรพินทร์สบายใจเสีย จะได้จัดเตรียมการเดินทางต่อไป หรือยังไง?"
    ไชยยันต์หันไปถามความเห็นเชษฐา อดีตทูตทหารบกก้มศรีษะลง
     "ควารจะเป็นเช่นนั้น ลงได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วอย่างนี้ ก็ควรจะออกเดินทางให้เร็วที่สุด"
     แล้วก็หันมาทางจอมพราน
63
     "ผมจะรีบจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามข้อเสนอเรียกร้องของคุณเร็วที่สุด ขณะนี้ขอให้เรามาปรึกษาเรื่องการเดินทางกันเถอะ"
     เชษฐา ไชยยันต์ และรพินทร์ ร่วมหารือกันอยู่เป็นเวลาประมาณเกือบชั่วโมงเต็ม จอมพรานอธิบายคร่าวๆให้ทราบถึงแผนการเดินทาง
     "ว่าแต่ทางฝ่ายคุณจะมีผู้ร่วมเดินทางไปกี่คน?"
     ตอนหนึ่งเขาถาม
     "ก็เท่าที่เห็นอยู่นี่แหละ ผม ไชยยันต์ แล้วก็..น้อย...ง่า...ผมหมายถึงดาริน"
     "ผมขอท้วงว่า การเดินทางคร้ั้งนี้ไม่ควรมีสุภาพสตรีเกี่ยวข้องด้วย"
     รพินทร์ขัดขึ้นโดยเร็ว สีหน้าเคร่งขรึม
     "คุณมีเหตุผลอะไรที่จะกีดกันไม่ให้ฉันไปด้วย"
     เสียงแหลมของหญิงสาวสวนมาในทันทีน้้น หล่อนจ้องด้วยตาเป็นประกายลุกวาว ความไม่พอใจสำแดงชัดเจน
     "ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยในข้อนี้ ทุกท่าน รวมถึงตัวคุณหญิงเอง ก็น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่า การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้ไปปิกนิก"
     น้ำเสียงของเขาห้วนเฉียบพอๆกับหล่อน ดารินผุดลุกขึ้นยืนในทันทีนั้้น
64
     "อย่าลืมว่าคุณเป็นลูกจ้างของเรานะ"
     "ใช่ ผมเป็นลูกจ้าง ลูกจ้างที่จะต้องนำทางและพิทักษ์ชีวิตของนายจ้างทุกคน ที่จะเดินทางไปในครั้งนี้ แต่ผมก็มีสิทธิ์ในการที่จะปฏิเสธภาระที่หนักเกินไป นั่นคือการพิทักษ์ชีวิตของผู้หญิงด้วยอีกคนหนึ่งโดยไม่จำเป็น"
     ดารินหน้าแดงก่ำ กำมือแน่น จ้องตาเขานิ่งอยู่เช่นนั้น อึดใจหนึ่งก็หัวเราแค่นๆออกมา เดินมาที่ราวปืนไรเฟิลขนาดต่างๆซึ่งตั้งประดับอยู่ในห้อง กระชากขนาด 30-30 แบบลีเวอร์แอคชั่น ปลิวติดมือขึ้นมากระบอกหนึ่ง คว้ากล่องกระสุนซึ่งวางอยู่ในตู้กระจกใกล้ๆขึ้นมาเปิดช้าๆ บรรจุลูกอย่างเยือกเย็นเข้าไปทีละนัด ตายังมองจับอยู่ที่รพินทร์เช่นนั้น
     ครั้นแล้วพริบตานั้นเอง หล่อนสะบัดตัวกลับหันออกไปทางหน้าต่าง กระชากลีเวอร์หรือคานเหวี่ยงของไรเฟิลกระบอกนั้น ส่งกระสุนขึ้นลำอย่างรวดเร็ว แล้วเสียงปืนก็แผดระเบิดขึ้นกึกก้อง จากนิ้วเรียวที่แตะไก เปรีียง!เปรี้ยง!เปรี้ยง!สะท้านไปทั้งห้อง
     ลูกนุ่นดิบพวงหนึ่งจากต้นนุ่นที่ยืนอยู่ห่างหน้าต่างบานนั้นประมาณ 40 เมตร ปลิวกระเด็นหลุดจากขั้วไปทีละลูก ในทุกครั้งที่หล่อนปล่อยกระสุนออกไป
     นัดสุดท้าย หล่อนเล็งตัดขั้วขาดหล่นลงมาทั้งพวง
     แล้วหล่อนก็หันกลับมา อกตระหง่านงามกระเพื่อมเป็นระลอกด้วยลมหายใจหอบเพราะความโกรธ ถามว่า
65
     "เป็นไง ฉันจะเป็นภาระให้คุณต้องกังวลหนักใจมากไหม อย่าว่าแต่ปืนยิงนกยิงหนูกระบอกขนาดนี้เลย ขนาด.458 แอฟริกัน แมกนั่ม หรือ .600 ไนโตรเอกซเปรส ฉันก็เคยลั่นไกมันมาแล้ว นี่ดีว่าวันนี้คุณโกนหนวดของคุณมาแล้วนะ ถ้าม่ายงั้นละก็ ในระยะร้อยเมตร ฉันจะช่วยถางหนวดคุณให้ด้วยลูกปืนไรเฟิลชนิดที่ไม่ทำให้ผิวของคุณต้องแสบเลย"
     ทุกคนตกตะลึง ในความฉุนเฉียวของ ม.ร.ว.หญิงดารินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอำพล พลากร ถึงกับผงะเพราะเขาไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ราชสกุลสาวสวยจะสามารถยิงไรเฟิลได้ด้วยฝีมือเยี่ยมยอดถึงเพียงนีั้ พี่ชายกับเพื่อนชายรู้มือกันมาก่อนแล้ว ไม่ตื่นอะไรนัก แต่งันไปเพราะความเกรี้ยวกราดอาละวาด
    รพินทร์ ไพรวัลย์ เฉยๆ ตอบเรียบๆ ด้วยสีหน้าตายของเขาตามเดิมว่า
     "การยิงปืนแม่นของคุณหญิง ไม่ได้เป็นประกาศนียบัตรหรือรับรองให้ผมแน่ใจว่า ภาระของผมจะเบาบางลงไปเลย ขออภัยด้วยครับ ถ้าหากการปฎิเสธของผม ทำให้คุณหญิงโกรธ"
     หล่อนถือปืนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
     "เสียดายนะ ที่ฉันเป็นผู้หญิง"
     หล่อนพูดเบาๆแต่กร้าวใช้ปากกระบอกปืนเขี่ยที่ต้นแขนจอมพรานแล้วยิ้มหยันๆ
      "ถ้าฉันเป็นผู้ชาย โดนสบประมาทกันแบบนี้ ฉันคงจะท้าคุณต่อยแน่"
66
     "นี่คือเหตุผลครับคุณหญิงก็รู้ตัวเองดีอยุ่แล้วนี่ว่าคุณหญิงเป็นผู้หญิง"
     "ขอให้เรามาพูดกันด้วยเหตุผลหน่อย"
     ดารินฝืนหัวเราะ พยายามจะข่มโทสะในสีหน้าและอาการอันวางเฉยของพรานใหญ่
     "จริงละ ฉันเป็นผู้หญิง แต่ไม่ว่าอะไรที่นายพรานมือฉกาจอย่างคุณเช่นที่ใครๆเขายกย่องร่ำลือกันนักทำได้ ฉันก็ทำได้ทั้งนั้น แล้วทำไมคุณถึงจะมาจำกัดสิทธิฉัน ไม่ให้ฉันเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ทั้งๆที่มันก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของฉันแท้ๆ ในฐานะที่พี่ชายของฉันจ้างคุณ คุณไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาคอยพิทักษ์คุ้มภัยอะไรให้ฉันหรอก ทำหน้าที่นำทางไปอย่างซื่อสัตย์ประการเดียวเท่านั้น ชีวิตและความปลอดภัยของฉัน ฉันรักษาเองได้"
     พรานใหญ่ไม่สนใจอะไรกับหล่อนทั้งสิ้น เหมือนหนึ่งผู้ใหญ่ที่เมินเฉยต่ออาการตอแยของเด็กที่มายืนกวนอยู่ข้างๆหันไปทาง ม.ร.ว.เชษฐาพูดขึ้นเบาๆ
     "ผมขอเชิญคุณชายพบเป็นการส่วนตัวสักครู่เถิดครับ"
     ว่าแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังระเบียงด้านนอก เชษฐาลุกขึ้นตามออกมาโดยเร็ว
     "ผมทราบว่าคุณกำลังต้องการจะพูดกับผมเรื่องอะไร"
     ม.ร.ว.เชษฐาพูดขึ้นอย่างอึดอัด พร้อมถอนใจ
   "ผมเองกับไชยยันต์ก็มีความคิดอย่างคุณนั่นแหละครับเราได้ยับยั้งห้ามปรามเขาไว้แล้วนับครั้งไม่ถ้วน และทะเลาะกัน
67

ทุกที แต่เขาไม่ยอม เขาเป็นคนดื้อรั้นที่สุด  ต้องการจะร่วมทางไปให้ได้ เห็นจะไม่มีทางสกัดกัั้นไว้ได้หรอกครับ คุณรพินทร์น้องสาวของผมคนนี้ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลงถ้าเขาคิดจะทำอะไร เขาต้องทำให้ได้ เขาก็มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน ในกรณีที่จะไปตามหาพี่ชาย ผมรู้ว่ามันเสี่ยงเพียงไร แต่เราก็เหลือกันอยู่สองคนพี่น้องแค่นี้เอง ทำยังไงได้"
     "คุณชายครับ สมมุติว่าผม คุณชาย และคุณไชยยันต์จะต้องถึงแก่ความพินาศแตกดับในการใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ชายของเราในครั้งนี้ มันเป็นการยุติธรรมหรือเหมาะสมแล้วหรือครับที่จะเอาคุณหญิงดาริน อันเป็นน้องสาวของคุณชายเองไปพบกับเคราะห์กรรมด้วย"
     เชษฐาโคลงศรีษะ หน้าเครียดอย่างกลัดกลุ้ม
     "แต่ผมไม่มีทางจะห้ามเขาได้ และใครก็ห้ามเขาไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากว่าเราจะเลิกล้มแผนการเดินทางครั้งนี้เสีย ซึ่งผมยอมไม่ได้ โปรดเถิดครับ อนุญาตให้เขาไปด้วยสักคน อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังพอจะทำประโยชน์ให้เเก่เราได้ คณะเดินทางของเราควรมีหมอไปด้วยสักคนหนึ่ง ดารินเป็นแพทย์อยู่แล้ว มือเกียรตินิยมทีเดียว ทั้งทางศัลยกรรมและอายุรเวช เขาอาจเป็นภาระหนักใจให้เราในด้านหนึ่ง แต่ก็ให้ความปลอดภัยแก่เราในอีกด้านหนึ่ง"
     "ถ้างั้นก็แล้วแต่คุณชายเถิดครับ ที่ผมห้ามไว้ก็ด้วยเจตนาดีนั่นเอง"
     แล้ว ม.ร.ว.เชษฐาก็ชวนเขากลับเข้าไปในห้อง
68
     พอก้าวพ้นประตูเข้ามา รพินทร์ ไพรวัลย์ ก็ชะงักกึก ยืนนิ่งไปชั่วขณะ ดาริน วราฤทธิ์ หม่อมราชวงศ์หญิงคนรั้นคนนั้นกำลังประทับปืนเล็งอะไรเล่นอยู่ และในขณะนี้ขณะที่เขาก้าวเข้าไป ศูนย์ปืนดูเหมือนจะจับดิ่งมาที่เป้าหมายหัวใจของเขาพอดี
     หล่อนหัวเราะด้วยเสียงกร้าวต่ำ แล้วก็ส่ายปากกระบอกทำเป็นเล็งเลยหัวเขาไปเสีย จอมพรานถอนใจเบาๆ
     'หม่อมราชวงศ์หญิงคนนี้นี่ร้ายกาจเอาเรื่องจริงๆ ดูจะร้ายยิ่งกว่าเจ้าเสือดำที่หลุดกรงเมื่อวานนี้หลายเท่านัก'เขาบ่นอยู่ในใจอย่างรำคาญ
     เมื่อกลับมานั่งลงที่เก่า หล่อนตวัดปืนมาพาดตัวไว้ ถามหน้าตายเฉยว่า
     "เป็นไง อนุญาตให้ฉันไปด้วยหรือยัง นายพราน?"
     "ตกลงครับ"
     หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างมีชัยเสียงสดใสขึ้น
     "เห็นไหมบอกแล้ว คุณเป็นลูกจ้าง คุณต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งาของนายจ้างซิ"
     "แต่บางขณะ นายจ้างก็ต้องปฎิบัติตามคำสั่งของลูกจ้างเหมือนกัน ถ้าหากลูกจ้างคนนั้นเป็นลูกจ้างประเภทถือหางเสือเรือ ถ้าม่ายงั้นเรือล่ม นายจ้างก็จะจมน้ำตาย"
     สามคนหัวเราะอย่างขบขับเป็นครั้งแรก ในคำพูดแบบเรียบๆหน้าตายเฉยของพรานใหญ่ แต่ดารินค้อน บ่นเบาๆ
    "ฉันเป็นหมอนะ คุณไม่คิดว่าคุณต้องพึ่งฉันบ้างในการเดินทางครั้งนี้ก็แล้วไป"
    รพินทร์ไม่ได้ตอแยโต้เถียงอะไรกับน้องสาวคนรั้นของผู้ที่กำลังจะเป็นนายจ้างของเขาอีก แต่อธิบายถึงแผนการเดินทางต่อไป....


    
5
 

          หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมอย่างพร้อมสรรพ ทนายประจำตระกูลวราฤทธิ์ ได้ร่างสัญญาขึ้นฉบับหนึ่ง เงื่อนไขถูกต้องตรงกันกับข้อเสนอตามต้องการของรพินทร์ ไพรวัลย์ ทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย และพร้อมกับ ม.ร.ว.เชษฐาก็มอบเช็คฉบับหนึ่งราคาสองแสนบาท อันเป็นค่าจ้างให้แก่พรานใหญ่ตามข้อตกลง ซึ่งเขาได้นำไปขึ้นบัญชีฝากไว้ในนามของมารดา เงื่อนไขเรียกร้องต่างๆได้ถูกกระทำขึ้นชนิดบริสุทธิ์ใจตรงไปตรงมาเป็นที่พอใจของฝ่ายรับจ้างและฝ่ายผู้จ้างครบถ้วนทุกประการ
     "อย่าถือว่าเราทั้งสองฝ่าย เป็น 'นายจ้าง' และ 'ลูกจ้าง' แต่ถือเสียว่าเราเป็นเพื่อนตายที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันก็แล้วกันคุณรพินทร์"
     ม.ร.ว.เชษฐากล่าวขึ้นหนักแน่น กอปรไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เข้ามาจับมือเขาบีบแน่น ภายหลังจากการเซ็นสัญญา
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ยิ้มอย่างสำรวมสุภาพอยู่เหมือนเดิม
"ขอบพระคุณอย่างสูง ที่คุณชายกรุณาให้เกียรติผม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ถือตัวอยู่เสมอว่าผมเป็น 'ลูกจ้าง'ของคุณชาย และขอปฏิญาณว่า จะเป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของเงื่อนไขสัญญาจ้างฉบับนี้"
ม.ร.ว.หญิงดารินเลิกคิ้วขึ้นยิ้มนิดๆแล้วเสริมมาว่า
"นั่นเป็นความคิดที่ดีและถูกต้องที่สุดแล้วนายพราน"
     พรานใหญ่หันไปก้มศีรษะให้แก่ส่าวสวยซึ่งประกาศเป็น คู่ปรับ กับเขาตั้งแต่แรกพบ เป็นการโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมสวยงามที่สุดเท่าที่ผู้ที่อยู่ในฐานะลูกจ้างจะแสดงต่อนายจ้างได้ เขาจะประชดหล่อนหรือเปล่าหล่อนไม่ทราบได้ แต่หล่อนเชิดหน้าปึ่ง เบือนไปเสียทางหนึ่งอย่างขวางลูกนัยน์ตา ถึงแม้นจะไม่มองรับคารวะอันนั้น หูของหล่อนก็ยังไม่วายจะได้ยินคำตอบรับเป็นทางการว่า
     "ขอรับกระผม"
แล้วก็ฉุนกึกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลตามเคย
     "เราจะถือโอกาสเที่ยวป่าล่าสัตว์ไปในตัวด้วย ระหว่างทางก่อนที่จะถึงการเดินทางอย่างมหาวิบากจริงๆของเรา คุณคงไม่ขัดฃ้องที่จะนำเราไม่ใช่หรือ?"
พ.ต.ไชยยันต์กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์สนุก
"ไม่มีอะไรขัดข้องเลยครับ ถ้าเป็นความประสงค์ของพวกคุณ" รพินทร์ตอบ
     อีกหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เป็นระยะเวลาของการตระเตรียมสัมภาระสิ่งของจำเป็นที่จะใช้ในการเดินทาง และใช้เป็นเวลาสนทนาหารือ กำหนดกะเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ม.ร.ว.เชษฐาได้มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของรพินทร์ในการจัดหาตระเตรียมท้้งสิ้นยกเว้นแต่ของจำเป็นส่วนตัวของแต่ละคน เครื่องเวชภัณฑ์ อาวุธ และเครื่องกระสุน ซึ่งเชษฐา ดาริน และไชยยันต์ ต่างก็ตระเตรียมกันมาเองอย่างเหลือเฟือ
     คณะเดินป่าจากกรุงเทพฯอันเป็นฝ่ายนายจ้างเดินทางมาที่ หนองน้ำแหง อันเป็นสถานีกักสัตว์ของรพินทร์ โดยถือเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของการเดินทางที่นั่น
     จอมพรานให้การรับรองต้อนรับคณะนายจ้างของเขาเป็นอย่างดี ในระหว่างการพักรอคอยกำหนดเดินทาง
     ความจริงหนองน้ำแห้งแต่เดิมก็เป็นใจกลางป่าดงแห่งหนึ่งนั่นเอง เพิ่งจะกลายเป็นหมู่บ้านย่อยๆขึ้นมาก็โดยฝีมือของรพินทร์นั่นเอง ซึ่งเขาเห็นว่าทำเลเหมาะ จึงมาสร้างแคมป์ถาวรขึ้นสำหรับเป็นที่พักพิงในระหว่างการตระเวนดง แล้วก็ขยับขยายมาเป็นสถานีกักสัตว์ ปลูกสร้างบ้านพักขึ้นในเวลาต่อมา
     พวกบรรดาชาวป่าและพรานทั้งหลายที่ท่องเที่ยวผ่านไปพลอยเห็นดีด้วย ก็จึงรวมหัวกันทยอย อพยพมาตั้งหลักแหล่งถาวร กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆขึ้นโดยยกย่องให้เขาเป็นนายบ้านด้วยความเคารพนับถือ จากอัธยาศัยไมตรีจิตและความเผื่อเเผ่กว้างขวางของเขา พวกตระเวนป่าพื้นเมืองทั้งหลายจึงเต็มไปด้วยความรักใคร่เลื่อมใสไม่มีพรานหรือชาวบ้านป่าคนใดที่ไม่รู้จักรพินทร์ ไพรวัลย์ ผู้มีฐานะไม่ผิดอะไรกับ'เจ้าพ่อแห่งดงดิบ'รพินทร์เป็นที่หวัง ที่พึ่งอันอบอุ่นของคนเหล่านั้นตลอดเวลามา
      'หนองน้ำแห้ง'และอาณาจักรป่าดงพงพีเท่าที่เท้าของพรานทั้งหลายในเขตนั้นจะเหยียบย่ำไปถึง จึงเปรียบเสมือนเป็นอาณาจักรของเขาเอง
     คณะเดินป่าจากกรุงเทพฯถูกเชิญให้พำนักอยู่ในเรือนใหญ่ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยซุงทั้งต้น คร่อมอยู่บนลำธารน้ำใสเล็กๆที่มีต้นทางมาจากขุนเขาใหญ่ ภายใต้ร่มเงาของไทรยักษ์ บรรยากาศรอบด้าน สวยสดรื่นรมย์ไปด้วยธรรมชาติของป่าแท้จริงตัวเขาเองย้ายไปนอนอยู่ที่เรือนหลังเล็กที่ปลูกอยู่บนคาคบของไม้ใหญ่ไม่ห่างออกไปนัก จะมาร่วมในเรือนหลังใหญ่ด้วยก็เฉพาะเวลาสนทนาหารือ และเวลาอาหารเท่านั้น
     และเวลาที่เขาจะมาร่วมวงรับประทานด้วย ก็เฉพาะแต่ตอนค่ำเท่านั้น เช้าและเที่ยงเขาจะปล่อยให้นายจ้างรับประทานกันตามลำพัง โดยมอบหน้าที่จัดหาอาหาร ตลอดจนการรับใช้ปรนนิบัติให้แก่คนสนิทของเขา ยกเว้นแต่ ม.ร.ว.เชษฐาจะสั่งให้คนของเขาไปตามมาร่วมด้วย
     สองวันแรก ภายหลังจากที่คณะของม.ร.ว.เชษฐาล่วงหน้ามาพำนักอยู่หนองน้ำแห้ง รถจิ๊ปบรรทุกของบริษัทไทยไวล์ด์ไลฟ์ โดยการเอื้อเฟื้ออย่างแข็งขันของนายอำพล ก็บรรทุกของอันเป็นสัมภาระอุปกรณ์และเสบียงกรังต่างๆ ทยอยส่งมาให้เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
     รพินทร์ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจรับของ เริ่มจะอึดอัดใจอย่างไรพิกล สิ่งของเหล่านั้นส่วนมากเป็นของที่ไม่จำเป็นมีปริมาณมากมายเกินความต้องการกองพะเนินเทินทึก ล้วนเป็นส่งของฟุุ่มเฟือย อำนวยความสะดวกสบาย ซึ่งในทรรศนะของพรานนักเดินป่าอาชีพอย่างเขาเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอย่างใดทั้งสิ้น นับตั้งแต่อาหารกระป๋องเป็นลังๆ วิสกี้ บรั่นดี และเบียร์เป็นหีบๆขึ้นไป จนกระทั่งเต็นท์และเตียงสนาม ตลอดจนเครื่องนอนต่างๆมันนอกเหนือไปจากบัญชีของจำเป็น ที่เขาสั่งให้นายอำพลช่วยจัดให้
 "โอ้โฮ!อะไรกันนี่ ของพวกนั้นฉันไม่ได้สั่งเลยนี่หว่า มันมาได้ยังไง"
     พรานใหญ่ร้องออกมา ขมวดคิ้ว ขณะที่พนักงานขับรถและคนงานของนายอำพลช่วยกันลำเลียงของลง
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่านผู้อำนวยการสั่งให้พวกผมขนมา"
      คนงานที่คุ้นเคยดีกับเขาหัวเราะยิงฟันตอบ รพินทร์กะพริบตาปริบๆงุนงง นายผินคนขับรถจิ๊ปบรรทุกคันนั้นก็เดินเข้ามาเอียงหน้ากระซิบบอกว่า


     "ของนอกเหนือไปจากบัญชีสั่งของคุณรพินทร์เหล่านี้เป็นของคุณหญิงคนสวยน้องสาวของหม่อมราชวงศ์เชษฐาเธอจัดการสั่งทั้งนั้นแหละครับ ทีแรกผมก็ท้วงแล้วว่าคุณรพินทร์ไม่ได้สั่ง แต่ท่านผู้อำนวยการบอกให้พวกผมขนมา บอกว่ารายการสั่งเพิ่มเติมเป็นของคุณผู้หญิงคนนั้น"
แล้วนายผินก็หัวเราะ
"อย่าว่าแต่อะไรเลยครับ ขนาดเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอก็เข้าไปตั้งสองหีบเหล็กใหญ่ๆแล้ว คุณผู้สองคนนั่นน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องการจัดการสั่งของทั้งหลายเป็นของคุณผู้หญิงทั้งนั้น"
     จอมพรานทำท่าเหมือนจะเป็นลม ยกมือขึ้นกุมขมับ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลอกตา ขณะนั้น ม.ร.ว.เชษฐาและไชยยันต์ก็เดินเข้ามาสมทบตรวจของ พอเห็นสิ่งไม่จำเป็นอันเหลือเฟือต่างๆก็ทำหน้างงๆไปเหมือนกัน พอดีกับที่เสียงตะโกนแจ้วๆของม.ร.ว.ดารินผู้ยืนอยู่บนระเบียงบ้านพัก ร้องสั่งคนงานให้ขนของเหล่านั้นลงด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหีบเหล็กเครื่องใช้ส่วนตัวของหล่อนสองใบ
     "ตายละวา ยายน้อยแกจะไปตั้งพระราชวังสำราญกลางป่าหรือยังไง"
     ไชยยันต์ครางอู้ออกมา เชษฐาจุ๊ปากพร้อมกับโคลงศรีษะช้าๆหันไปมองดูหน้าน้องสาวผู้ยืนมองอยุ่บนระเบียบของบ้านพักปลูกสูกอยู่บนโขดหินใหญ่
"ถึงว่าละซิ นึกแล้วไม่มีผิด ว่าเด็กนี่คงจะต้องทำความยุ่งยากใหญ่ให้แก่พวกเรา"
แล้วก็หันมาทางรพินทร์ หัวเราะด้วยจืดๆ
"คุณรพินทร์คงจะอึดอัดลำบากใจมากนะ"
พรานใหญ่ยิ้มๆ มองดูม.ร.ว.เชษฐาและไชยยันต์ด้วยดวงตาที่แจ่มใสเป็นประกาย เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงมีความเลื่อมใสนิยมและถูกชะตากับสองชายผู้อยู่ในฐานะนายจ้างของเขาตั้งแรกเห็นอย่างบอกไม่ถูก มีอะไรหลายต่อหลายอย่างของบุคคลทั้งสองที่กลมกลืนเข้ากันได้สนิทกับเขา ทั้งเชษฐาและไชยยันต์มีลักษณะเป็นชายชาตรีตามแบบฉบับลูกผู้ชายแท้ๆด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในพวกชาวกรุงที่มีชีวิตหรูหราสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เกิดมาในตระกูลสูง
     "ถ้าผมมีน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนอย่างคุณชาย และเป็นน้องสาวที่รักพี่ชายอย่างที่สุดเหมือนคุณหญิงดาริน ผมก็คิดว่าผมควรจะต้องรักและเอาใจใส่เธอเหมือนอย่างที่คุณชายมีความรู้สึกต่อคุณหญิงดารินในขณะนี้เหมือนกัน ปล่อยเธอตามสบายเถอะครับ อย่าขัดใจเธอเลย"
      รพินทร์พูดด้วยเสียงอ่อนโยนปนหัวเราะน้อยๆ
     พอวันที่สาม รถบรรทุกจากบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ก็มาส่งสัมภาระอีกเที่ยวหนึ่ง เป็นพวกเครื่องเวชภัณฑ์ หีบอาวุธปืน พร้อมเครื่องกระสุน แต่แล้วพรานใหญ่รพินทร์ก็งุนงงไปอีกเมื่อมองเห็นเครื่องพิมพ์ดีดเเบบกระเป๋าหิ้ว กระเป๋าเอกสารที่บรรจุเครื่องเขียน และที่ทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้างไปก็คือเครื่องเล่นจานเสียงสเตอริโอแบบกระเป๋าใช้ระบบทรานซิสเตอร์ และหีบจานเสียง
     ยังไม่ทันที่่เขาจะเอ่ยปากซักถามอะไรกับคนขับรถที่เอามาส่่ง ม.ร.ว.ดารินก็ก้าวอาดๆตรงมาที่รถ บงการลำเลียงขนถ่ายด้วยตัวเอง โดยไม่สนใจกับพรานใหญ่ผู้ยืนซอยเปลือกตาถี่ๆอยู่ก่อนแล้ว
 "พวกเรามีใครเป็นนักประพันธ์อยู่ด้วยหรือครับ?"
เขาถามขึ้นเบาๆบุ้ยปากไปที่เครื่องพิมพ์ดีดและเครื่องเขียน ดารินหันขวับมาโดยเร็ว ตวัดสายตาปราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พูดแบบมะนาวหน้าแล้ง
"ไม่มีใครเป็นนักประพันธ์หรอก มีแต่นักศึกษามานุษยวิทยาที่ทำวิทยานิพนธ์ค้างไว้ยังไม่เสร็จ และในระหว่างเดินทางนักศึกษาคนนั้นจะทำงานส่วนตัวต่อในเวลาที่ว่าง ลูกจ้างผู้เป็นพรานนำทางก็ไม่เห็นจะต้องมาเกี่ยว"
     "อ้อ!"
 เขาลากเสียงยาวหน้าตายอยู่อย่างเดิม มองไปที่เครื่องเล่นจานเสียง
"คุณชายเชษฐา หรือมิฉะนั้นก็คุณไชยยันต์คงจะเป็นนักเพลงที่ขาดเสียงดนตรีมิได้"
     ตางามของ ม.ร.ว.คนสวนเขียวปัดปะหลับประเหลือกขึ้นมาในบัดนั้น ตาเสือสมิงก็เห็นจะไม่คมน่ากลัวเท่า สำหรับพรานใหญ่อย่างรพินทร์
"ของพวกนี้มันเป็นของของฉันทั้งนั้นเเหละ ทำไม...คุณจะขัดข้องอะไรเหรอ ที่ฉันจะเอามันไปด้วย หรอว่าตัวคุณต้องมารับภาระแบกหาม ไหนลองบอกมาซิ ในการที่เราจ้างให้คุณนำทางครั้งนี้ คุณกำหนดโควต้าให้เรามีอะไรติดต้วไปได้บ้าง หรือว่าเราจะต้องปฎิบัติตัวอยู่ในกฎข้อบังคับอะไรของคุณ"
หล่อนพูดเร็วปรื๋อ
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ชิดเท่าตรง ก้มศีรษะให้ พูดเสียงหนักแน่นเข็งแรงเหมือนพลทหารรายงานกับผู้บังคับบัญฃา
"หามิได้ครับผม กระผมกำลังเสนอความเห็นว่า ถ้าเราได้โทรทัศน์อีกสักเครื่อง และตู้เย็นอีกสักตู้ไปด้วยในการบุกดงดิบกันกันดารครั้งนี้ คณะของเราคงจะมีความสุขมิใช่น้อยครับผม"
     ดารินหน้าแดงก่ำ จ้องตาเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วก็อุทานอะไรออกมาคำหนึ่งอย่างฉุนเฉียว กระทืบเท้าสะบัดหน้าเดินผละขึ้นไปบนบ้านพักโดยเรว รพินทร์เป่าลมพรูออกทางปาก มองตามหลังร่างงามที่ก้าวฉับๆไปด้วยอารมณ์เดือดดาลเกรีี้ยวกราดตุปัดตุป่องนั้น พร้อมกับโคลงศีรษะช้าๆ คนขับรถของนายอำพลและพนักงานขนของซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วย พากันกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง บางคนเลี่ยงไปบังอยู่หลังรถแล้วปล่อยก๊ากงอหาย
     หัวค่ำของวันนั้น เมื่อรพินทร์ขึ้นไปบนเรือนหลังใหญ่ในเวลาอาหาร เป็นเวลาที่คณะนายจ้างของเขากำลังสาละวนอยู่กับการรื้อสัมภาะสิ่งของออกมาตรวจสอบ เชษฐากับไชยยันต์ง่วนอยู่กับไรเฟิลขนาดต่างๆที่งัดขึ้นมาจากหีบ ส่วนดารินนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่เก้าอี้ไม้ยาว มือหนึ่งคีบบุหรี่ อีกมือหนึ่งถือแก้วบรั่นดี เสียงเครื่องเล่นจานเสียงสเตอริโอดังอยู่แผ่วๆ ที่โต๊ะอาหารต่อด้วยไม้แผ่นเดียวกลางห้อง จุดพราวไปด้วยเทียน ไวน์แดงแช่อยู่ในถึงไม้หมกน้ำแข็ง กับแกล้มสำหรับกินเล่นๆฆ่าเวลาก่อนจะถึงเวลาอาหารแท้จริง มีทั้งจำพวกเนื้อสัตว์ป่าที่ปรุงในลักษณะต่างๆโดยฝีมือพ่อครัวบ้านป่าของเขาและพวกอาหารกระป๋องวางเรียงรายอยู่เต็ม
     คนใช้ชาวพื้นเมืองของเขาสามคนที่มอบไว้ให้สำหรับคอยดูแลรับใช้ปรนนิบัติแขกพิเศษหรือคณะนายจ้าง พากันนั่งอยู่กับพื้น พวกนั้นกำลังชอบอกชอบใจกับเสียงเพลางจากจานเสียง
     เมื่อก้าวเข้าไป และมองดูสภาพของห้องอาหารที่ถูกดัดแปลงอย่างวิจิตรด้วยอาการตื่นๆงงๆเชษฐาและไชยยันต์ก็หันมาร้องทัก
"เป็นไง ห้องไดนิ่งรูมในบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยกลิ่นไอดงพงพีของเราค่ำวันนี้"
ไชยยันต์พูดขึ้นปนหัวเราะอย่างอารมณ์ร่าเริง
"โรแมนติกชวนคลิ้มมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงเทียน ไวน์แดง แล้วก็เซเรเนดเพลงนั้น"
     พรานใหญ่ตอบยิ้มๆ กราดสายตาไปรอบๆ และผ่านแวบไปที่ ม.ร.ว.หญิงดาริน เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นเดี่๋ยวนี้เอง หญิงสาวอยู่ในไนท์กาวน์สีกลีบกุหลาบสด ปล่อยผมสยายยาวผิดไปกว่าทุกวัน ลักษณะของหล่อนอยู่ในสภาพปล่อยกายสบายอารมณ์เหมือนจะอยู่ในห้องอาหารในคฤาสสมบูรณ์พูนสุขของหล่อนเอง หล่อนคงอยู่ในอาการทอดอารมณ์เฉย เหมือนจะไม่เห็นว่าเขาได้ก้าวเข้ามา
"น้อยเขาเป็นคนจัดการขึ้นทั้งนั้น "ม.ร.ว.เชษฐาบอก "เขาบอกว่าค่ำคืนวันนี้จะขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองในการเซ็นสัญญายอมเป็นผู้นำทางของคุณ หรือจะให้พูดให้ตรงท่สุดก็คือ ฉลองในการที่ชีวิตของเราทั้งหมด จะไปร่วมเผชิญกับเหตุการณ์ที่เรายังไม่สามารถทำนายได้ถูกในอนาคตเบื้องหน้า"
     รพินทร์เบิกตาตื่นเล็กน้อย หันไปทางดารินผู้ไม่มองสบตาเขาแล้วก้มศีรษะ
"เป็นความกรุณาเหลือเกินครับคุณหญิง ผมขอรับเชิญนี้ด้วยความยินดี"
"ฉันนึกว่าฉันจะทำความรำคาญ ไม่พอใจให้คุณเสียอีก"
     ดารินพูดชาเย็น พร้อมกับลุกขึ้นยืน รพินทร์หัวเราะขันๆขยับเก้าอี้หัวโต๊ะให้กับหล่อน หญิงสาวทรุดกายลงนั่งพร้อมกับบอกขอบคุณเรียบๆ ม.ร.ว.เชษฐานั่งที่หัวโต๊ะอีกด้านหนึ่ง รพินทร์และไชยยันต์นั่งตรงข้ามกัน
     การร่วมรับประทานอาหารค่ำมื้อนั้น เต็มไปด้วยรสชาติอันน่าตื่นใจสำหรับสามชาย ผู้มีความรู้สึกเหมือนรู้จักสนิทสนมกันมานาน รพินทร์สุภาพอ่อนโยน และสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในฐานะลูกจ้าง โดยไม่มีอะไรบกพร่อง  ทั้งหมดสนทนากันไปพลาง เว้นดารินคนเดียวที่รับประทานอยู่เงียบๆ ขณะที่สามชายชนแก้วและดื่มให้แก่กัน หล่อนก็มิได้ร่วมด้วย เพียงแต่คลึงแก้วไวน์ในมือเฉย รพินทร์ชูแก้วให้แก่หล่อน
"สำหรับคุณหญิงดาริน ผู้กรุณาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงผม"แล้วก็ดื่มรวดเดียวหมด
     หล่อนดูเหมือนจะเลิกคิ้วงามข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ กระดกแก้วไวน์ขึ้นนิดๆแล้วจิบ
     "เซเรเนดบทนี้ไพเราะมากนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศอย่างนี้"
เขาชวนหล่อนพูดอย่างเอาใจ เพราะเห็นนั่งเฉยอยู่ตลอดเวลา
"อ้อ!คุณเข้าใจคุณค่าของดนตรีเหมือนกันหรือ?" ดารินถามเรียบๆพรานใหญ่แทบสำลักไวน์
"ไม่เข้าใจซึ้งนักหรอกครับ เพราะสิ่งแวดล้อมในชีวิตอย่างผม ทำให้ไม่มีโอกาสอภิรมย์กับมันมากนัก ผมเคยได้รับของขวัญจากคุณอำพลชิ้นหนึ่ง เป้นวิทยุทรานซิสเตอร์อย่างดี สำหรับเอาไว้ให้ผมนำติดตัวในเวลาตระเวนป่า แต่น่าเสียดายเหลือเกินพวกช้างป่ามันช่วยกันกระทืบวิทยุของผมพังหมด ตอนที่มันเข้ามาเยี่ยมแค้มป์ผม ในขณะที่ผมไปนั่งห้าง ตั้งแต่นั้นผมก็เลยไม่มีดนตรีฟัง"
     พี่ชายกับเพื่อนของหล่อนหัวเราะครึกครื้น ด้วยอาการพูดแบบหน้าตายของเขา แต่ดารินยักไหล่
     หลังอาหาร อันเป็นเวลาที่นั่งพักผ่อนอยู่กับกาแฟและบรั่นดี หล่อนก็หันมาถามเขาแทรกการสนทนาอื่นๆขึ้นว่า"คุณรู้สึกว่าข้าวของที่เราจะเอาติดไปด้วยเหล่านี้มากมายเกินกว่าจำเป็นหรือ?"
พรานใหญ่ทำหน้าตื่น "หามิได้เลยครับ มหาราชินีในอินเดีย หรือควีนอลิซาเบธ เวลาเสด็จประพาสป่า พระองค์มีสัมภาระข้าวของที่จะโดยเสด็จด้วยตั้งมากมายก่ายกอง มากกว่าคณะของเราหลายเท่านัก"
     ทุกคนรู้ว่านั้นเป็นคำประชดแบบกึ่งสัพยอกล้อเลียนโดยสุภาพของเขา ม.ร.ว.เชษฐา ไชยยันต์ หัวเราะด้วยอารมณ์สนุก ม.ร.ว.หญิงคนสวยหน้าง้ำ หล่อนวางข้อศอกลงกับโต๊ะ เอาฝ่ามือรองรับคางไว้ มองจ้องมายังเขา
     "ความจริงมันไม่น่าจะเป็นภาระอะไรที่น่าวิตกกังวลไปเลย งบประมาณการเดินทางครั้งนี้ เราวางไว้อย่างไม่อั้น และก็ควรจะถือหลักความสะดวกสบายให้มากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ คุณอาจหัวเราะหรือนึกดูหมิ่นฉันในข้อที่ว่าฉันเป็นผู้หญิง เมื่อร่วมคณะเดินทางไปด้วย ฉันก็วุ่นวายจัดเตรียมอะไรชนิดที่ทำให้คุณดูเป็นการมโหฬารเกินความจำเป็นไป แต่คุณลืมนึกไปเสียว่า ฉันเป็นคนรอบคอบและหวังดีต่อพวกเราทุกคน ขอบอกให้ทราบเสียหน่อยนะ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ฉันไม่ใช่ผู้หญิ่งประเภทผิวบาง ที่เหมือนผู้หญิงทั่วไปอย่างที่คุณคิดหรอก ฉันเคยผ่านชีวิตกร้านๆเหนื่อยยากลำเค็ญมามากแล้ว ถึงจะไม่เก่งเท่าคุณ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยลิ้มรสเสียเลย ฉันเคยเดินป่าในแอฟริกาหรือดงดิบแถบอเมริกาใต้ การศึกษามานุษยวิทยาของฉันบังคับให้ฉันต้องบุกบั่นเข้าไปเพราะฉะนั้นถ้าคุณจะระแวงอยู่ในหัวข้อที่ว่าฉันไม่เข้าใจ 'ชีวิตการเดินป่า'ละก็ คุณเข้าใจผิดมาก"
"โอ!..."
รพินทร์อุทานออกมาทำท่าตกใจ แต่หล่อนรู้ว่าเขาอยู่ในอาการล้อเลียนเช่นเดิม
"ผมไม่ได้มีความคิดที่จะดูหมิ่นอะไรคุณหญิงเลยครับ เป็นความสัตย์จริง แต่ผมเกรงไปว่า การศึกษามานุษยวิทยาของคุณหญิง กับการไปเพื่อติดตามค้นหาคุณชายอนุชาคราวนี้ มันอาจไม่เหมือนกันนัก"
"ไม่เหมือนกันยังไง" "ความหมายของ 'การไป' มันแตกต่างกันชัดชัดอยู่แล้วนี้่ครับ คุณหญิง คุณหญิงเคยไปเพื่อการศึกษา ก็คือไปเพื่อการศึกษาแต่ในคราวนี้เราไปเพื่อค้นหาบุคคลที่สาบสูญ ซึ่งเรายังไม่รู้เลย ว่าจะพบเขาหรือไม่ เเละไม่มีกำหนดการว่าเมื่อไหร่ถึงจะสุดสิ้นการเดินทางของเรา เท่าๆที่ยังทายไม่ถูกทั้งสิ้นว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง คุณหญิงเองก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า ภายหลังจากที่ผมได้เซ็นสัญญาการนำทางฉบับนั้นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้ทำพินัยกรรมขึ้นอีกฉบับหนึ่ง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คุณแม่ของผม สิ่งนี้มันยืนยันชัดอยู่แล้วว่า ผมหวังได้น้อยเหลือเกินว่าจะได้กลับมาเลี้ยงดูท่านอีกในการเดินทางครั้งนี้"
ทุกคนนิ่งงันกันไปอีกครั้ง
ม.ร.ว.หญิงดารินเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ยิ้มมุมปาก"เอาเถอะ เราจะไปตายหรือไปพบกับกาลวิบัติเช่นไรก็ตามอย่างคุณว่า ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทำให้เราละทิ้งความสะดวกสบายเท่าที่เราจะหาได้เสียเลย มันเป็นความหมายว่าสิ่งของต่างๆที่ฉันตระเตรียมมา และคุณเห็นว่าเกะกะรุงรังนี้ ก็เพื่อจะเอาไว้ใช้ต่อสู้แบ่งเบากับความลำเค็ญทุรกันดารในป่า ให้บรรเทาลง เพื่อเราจะได้มีกำลังบุกบั่นกันต่อไป ทำไมคุณไม่คิดอย่างนั้นบ้าง คุณก็รับรองไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า ลูกหาบของเราหาได้อย่างเหลือเฟือ จะเอาสักเท่าไหร่ก็ได้"
พรานใหญ่หัวเราะเบาๆ จุดบุหรี่สูบ เงียบไปครู่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้ม สุภาพราบเรียบว่า
"เอาละครับ ผมจะได้ขอถือโอกาสนี้เรียนให้ทราบชัดถึงการเดินทางของเราเสียที ถูกแล้วครับ ลูกหาบและเกวียนเทียมควาย ที่จะบรรทุกสัมภาระสิ่งของซึ่งเราจะเอาไปด้วย จะหาสักกี่ร้อยก็ได้ แต่มันหมายความถึงว่าคนและกองเกวียนอันเป็นคาราวานของเราเหล่านั้น จะช่วยเราได้เพียงแค่ระยะทางที่เราถึง 'หล่มช้าง'เท่านั้น ต่อจากนั้นพวกเราจะต้องเดินทางกันไปเอง พร้อมกับคนเก่าแก่ของผมโดยเฉพาะอีกเพียง 4 คน ซึ่งพร้อมที่จะร่วมตายกับเราได้ ว่าอันที่จริงผมก็ได้ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกลูกหาบเหล่านั้นเดินทางกันไปด้วยจนถึงขีดสุด แต่ไม่ว่าจะจ้างเขาด้วยเงินจำนวนสูงสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครเอาสักคน พวกเขารู้จุดหมายว่าเราจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาพระศิวะ ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นแดนมรณะ และก็เมื่อถ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วเช่นนัี้น ตามความรู้สึกนึกคิดและเชื่อมั่นของเขา ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะมาหวังค่าจ้างอยู่ เรื่องมันเป็นยังงี้ครับคุณหญิง เพราะฉะนั้นสัมภาระต่างๆที่คุณหญิงตระเตรียมไว้อย่างมากมายเหล่านี้ เราจะใช้มันให้เป็นประโยฃน์ได้ก็แค่เพียงระยะทางที่เราจะเดินไปถึงหล่มช้างเท่านั้น ต่อจากนั้นเราต้องเดินทางกันด้วยเท้าเปล่าตามลำพัง และสิ่งที่จะติดตัวไปได้ก็เพียงแต่เท่าที่กำลังของเราจะเอาไปได้เท่านั้น"
     เขาหยุดหัวเราะเบาๆอีกครั้ง มองประสานตาดำขลับที่จ้องนิ่งมาของหล่อน กล่าววต่อมาว่า "การเดินป่าเพื่อศึกษามานุษยวิทยาของคุณหญิงกับการเดินทางเพื่อตามหาคุณชายอนุชา มันผิดกันชัดๆอีตรงนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณหญิง ที่จะตัดสินใจให้ดีว่า เลิกล้มความตั้งใจเดิมเสีย หรือว่ายังจะคิดไปลำบากยากแค้นกับพวกเราชนิดที่เปล่าประโขชน์"
"รู้สึกว่าคุณพยายามขู่ฉันเสียเหลือเกินนะ"หล่อนพูดเบาๆยิ้มด้วยอาการฝืน
"ไม่ได้ขู่เลยครับ แต่ผมเรียนด้วยความสัตย์จริงเหมือนอย่างที่เรียนไว้แล้วแต่แรก"
"ก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างที่ฉันบอกคุณไว้แต่แรกเช่นกัน ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนความตั้งใจของฉันเสียได้ คุณเดิน ฉันก็เดินไป คุณคลาน ฉันก็คลาน คุณทำอะไรฉันก็ทำไอ้นั้น เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วครับ ก็...เป็นอันว่าหมดปัญหาไปเสียที"
"และก็ขอให้แน่ใจเสียทีว่า ตั้งแต่คุณเกิดมา คุณคงจะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเท่ากับสุภาพสตรีผู้นี้" ไชยยันต์เสริมมาหน้าตาเฉย
     ดารินหันไปมองค้อนเพื่อนชายจนตาคว่ำ ขยับแอปเปิ้ลในมือขึ้น ทำท่าเหมือนจะขว้าง เพื่อนชายร้องลั่นตั้งท่าหลบ บนโต๊ะมีบรรยากาศครื้นเครงขึ้นอีก ในสายตาของรพินทร์ครั้งแรกที่เขามองเห็นไชยยันต์และ ม.ร.ว.ดารินทร์ เขาคิดว่าคนทั้งสองน่าจะเป็นคู่รักกัน แต่แล้วเมือดูๆไปก็รู้แน่ว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรท่จะเอนเอียงไปในด้านชู้สาวแม้แต่น้อย
     ไชยยันต์เป็นคนมีอารมณ์ สนุกสนานร่าเริงอยู่ตลอดเวลา และช่างแหย่ เท่าๆกับที่ดารินก็ขี้งอน โมโหง่าย บางขณะท้งสองทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ
     "ที่หล่มช้างนี่้ใช่ไหมที่คุณได้ข่าวว่าอนุชาทิ้งเกวียนของเขาที่นั่น







 
    
                   

17 ความคิดเห็น:

  1. รักเพชรพระอุมามากกกกก

    ตอบลบ
  2. อ่านหลายรอบก็ยังอยากอ่าน

    ตอบลบ
  3. กราบงามให้กับความดีของคุณครับ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณมากๆเลยครับ

    ตอบลบ
  5. เล่มสองละคะ..ตอนนี้อ่านจบเล่มสอง
    อยากหาอ่านอีก

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณครับ ที่พาผมกลับมรกตนครอีกครั้ง

    ตอบลบ
  7. รักมากชอบอ่านแต่ยังไม่จบ

    ตอบลบ
  8. สุดยอดครับ นวนิยายเรื่องนี้ อ่านมาทั้งหมด 4 รอบแล้ว ไม่เคยเบื่อ ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน

    ตอบลบ
  9. อ่านตอนที่2ไงอ่าคัฟ

    ตอบลบ
  10. ชอบมากเลยครับ​ นักผจญภัยทั้ง​ 9​ ชีวิต​ เหมือนญาติสนิทเลย

    ตอบลบ