วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เพชรพระอุมา ตอนที่1 ไพรมหากาฬ1(5)

5

          หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมอย่างพร้อมสรรพ ทนายประจำตระกูลวราฤทธิ์ ได้ร่างสัญญาขึ้นฉบับหนึ่ง เงื่อนไขถูกต้องตรงกันกับข้อเสนอตามต้องการของรพินทร์ ไพรวัลย์ ทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย และพร้อมกับ ม.ร.ว.เชษฐาก็มอบเช็คฉบับหนึ่งราคาสองแสนบาท อันเป็นค่าจ้างให้แก่พรานใหญ่ตามข้อตกลง ซึ่งเขาได้นำไปขึ้นบัญชีฝากไว้ในนามของมารดา เงื่อนไขเรียกร้องต่างๆได้ถูกกระทำขึ้นชนิดบริสุทธิ์ใจตรงไปตรงมาเป็นที่พอใจของฝ่ายรับจ้างและฝ่ายผู้จ้างครบถ้วนทุกประการ
     "อย่าถือว่าเราทั้งสองฝ่าย เป็น 'นายจ้าง' และ 'ลูกจ้าง' แต่ถือเสียว่าเราเป็นเพื่อนตายที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันก็แล้วกันคุณรพินทร์"
     ม.ร.ว.เชษฐากล่าวขึ้นหนักแน่น กอปรไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เข้ามาจับมือเขาบีบแน่น ภายหลังจากการเซ็นสัญญา
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ยิ้มอย่างสำรวมสุภาพอยู่เหมือนเดิม
"ขอบพระคุณอย่างสูง ที่คุณชายกรุณาให้เกียรติผม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ถือตัวอยู่เสมอว่าผมเป็น 'ลูกจ้าง'ของคุณชาย และขอปฏิญาณว่า จะเป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของเงื่อนไขสัญญาจ้างฉบับนี้"
ม.ร.ว.หญิงดารินเลิกคิ้วขึ้นยิ้มนิดๆแล้วเสริมมาว่า
"นั่นเป็นความคิดที่ดีและถูกต้องที่สุดแล้วนายพราน"
     พรานใหญ่หันไปก้มศีรษะให้แก่ส่าวสวยซึ่งประกาศเป็น คู่ปรับ กับเขาตั้งแต่แรกพบ เป็นการโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมสวยงามที่สุดเท่าที่ผู้ที่อยู่ในฐานะลูกจ้างจะแสดงต่อนายจ้างได้ เขาจะประชดหล่อนหรือเปล่าหล่อนไม่ทราบได้ แต่หล่อนเชิดหน้าปึ่ง เบือนไปเสียทางหนึ่งอย่างขวางลูกนัยน์ตา ถึงแม้นจะไม่มองรับคารวะอันนั้น หูของหล่อนก็ยังไม่วายจะได้ยินคำตอบรับเป็นทางการว่า
     "ขอรับกระผม"
แล้วก็ฉุนกึกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลตามเคย
     "เราจะถือโอกาสเที่ยวป่าล่าสัตว์ไปในตัวด้วย ระหว่างทางก่อนที่จะถึงการเดินทางอย่างมหาวิบากจริงๆของเรา คุณคงไม่ขัดฃ้องที่จะนำเราไม่ใช่หรือ?"
พ.ต.ไชยยันต์กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์สนุก
"ไม่มีอะไรขัดข้องเลยครับ ถ้าเป็นความประสงค์ของพวกคุณ" รพินทร์ตอบ
     อีกหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เป็นระยะเวลาของการตระเตรียมสัมภาระสิ่งของจำเป็นที่จะใช้ในการเดินทาง และใช้เป็นเวลาสนทนาหารือ กำหนดกะเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ม.ร.ว.เชษฐาได้มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของรพินทร์ในการจัดหาตระเตรียมท้้งสิ้นยกเว้นแต่ของจำเป็นส่วนตัวของแต่ละคน เครื่องเวชภัณฑ์ อาวุธ และเครื่องกระสุน ซึ่งเชษฐา ดาริน และไชยยันต์ ต่างก็ตระเตรียมกันมาเองอย่างเหลือเฟือ
     คณะเดินป่าจากกรุงเทพฯอันเป็นฝ่ายนายจ้างเดินทางมาที่ หนองน้ำแหง อันเป็นสถานีกักสัตว์ของรพินทร์ โดยถือเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของการเดินทางที่นั่น
     จอมพรานให้การรับรองต้อนรับคณะนายจ้างของเขาเป็นอย่างดี ในระหว่างการพักรอคอยกำหนดเดินทาง
     ความจริงหนองน้ำแห้งแต่เดิมก็เป็นใจกลางป่าดงแห่งหนึ่งนั่นเอง เพิ่งจะกลายเป็นหมู่บ้านย่อยๆขึ้นมาก็โดยฝีมือของรพินทร์นั่นเอง ซึ่งเขาเห็นว่าทำเลเหมาะ จึงมาสร้างแคมป์ถาวรขึ้นสำหรับเป็นที่พักพิงในระหว่างการตระเวนดง แล้วก็ขยับขยายมาเป็นสถานีกักสัตว์ ปลูกสร้างบ้านพักขึ้นในเวลาต่อมา
     พวกบรรดาชาวป่าและพรานทั้งหลายที่ท่องเที่ยวผ่านไปพลอยเห็นดีด้วย ก็จึงรวมหัวกันทยอย อพยพมาตั้งหลักแหล่งถาวร กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆขึ้นโดยยกย่องให้เขาเป็นนายบ้านด้วยความเคารพนับถือ จากอัธยาศัยไมตรีจิตและความเผื่อเเผ่กว้างขวางของเขา พวกตระเวนป่าพื้นเมืองทั้งหลายจึงเต็มไปด้วยความรักใคร่เลื่อมใสไม่มีพรานหรือชาวบ้านป่าคนใดที่ไม่รู้จักรพินทร์ ไพรวัลย์ ผู้มีฐานะไม่ผิดอะไรกับ'เจ้าพ่อแห่งดงดิบ'รพินทร์เป็นที่หวัง ที่พึ่งอันอบอุ่นของคนเหล่านั้นตลอดเวลามา
      'หนองน้ำแห้ง'และอาณาจักรป่าดงพงพีเท่าที่เท้าของพรานทั้งหลายในเขตนั้นจะเหยียบย่ำไปถึง จึงเปรียบเสมือนเป็นอาณาจักรของเขาเอง
     คณะเดินป่าจากกรุงเทพฯถูกเชิญให้พำนักอยู่ในเรือนใหญ่ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยซุงทั้งต้น คร่อมอยู่บนลำธารน้ำใสเล็กๆที่มีต้นทางมาจากขุนเขาใหญ่ ภายใต้ร่มเงาของไทรยักษ์ บรรยากาศรอบด้าน สวยสดรื่นรมย์ไปด้วยธรรมชาติของป่าแท้จริงตัวเขาเองย้ายไปนอนอยู่ที่เรือนหลังเล็กที่ปลูกอยู่บนคาคบของไม้ใหญ่ไม่ห่างออกไปนัก จะมาร่วมในเรือนหลังใหญ่ด้วยก็เฉพาะเวลาสนทนาหารือ และเวลาอาหารเท่านั้น
     และเวลาที่เขาจะมาร่วมวงรับประทานด้วย ก็เฉพาะแต่ตอนค่ำเท่านั้น เช้าและเที่ยงเขาจะปล่อยให้นายจ้างรับประทานกันตามลำพัง โดยมอบหน้าที่จัดหาอาหาร ตลอดจนการรับใช้ปรนนิบัติให้แก่คนสนิทของเขา ยกเว้นแต่ ม.ร.ว.เชษฐาจะสั่งให้คนของเขาไปตามมาร่วมด้วย
     สองวันแรก ภายหลังจากที่คณะของม.ร.ว.เชษฐาล่วงหน้ามาพำนักอยู่หนองน้ำแห้ง รถจิ๊ปบรรทุกของบริษัทไทยไวล์ด์ไลฟ์ โดยการเอื้อเฟื้ออย่างแข็งขันของนายอำพล ก็บรรทุกของอันเป็นสัมภาระอุปกรณ์และเสบียงกรังต่างๆ ทยอยส่งมาให้เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
     รพินทร์ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจรับของ เริ่มจะอึดอัดใจอย่างไรพิกล สิ่งของเหล่านั้นส่วนมากเป็นของที่ไม่จำเป็นมีปริมาณมากมายเกินความต้องการกองพะเนินเทินทึก ล้วนเป็นส่งของฟุุ่มเฟือย อำนวยความสะดวกสบาย ซึ่งในทรรศนะของพรานนักเดินป่าอาชีพอย่างเขาเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอย่างใดทั้งสิ้น นับตั้งแต่อาหารกระป๋องเป็นลังๆ วิสกี้ บรั่นดี และเบียร์เป็นหีบๆขึ้นไป จนกระทั่งเต็นท์และเตียงสนาม ตลอดจนเครื่องนอนต่างๆมันนอกเหนือไปจากบัญชีของจำเป็น ที่เขาสั่งให้นายอำพลช่วยจัดให้
 "โอ้โฮ!อะไรกันนี่ ของพวกนั้นฉันไม่ได้สั่งเลยนี่หว่า มันมาได้ยังไง"
     พรานใหญ่ร้องออกมา ขมวดคิ้ว ขณะที่พนักงานขับรถและคนงานของนายอำพลช่วยกันลำเลียงของลง
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่านผู้อำนวยการสั่งให้พวกผมขนมา"
      คนงานที่คุ้นเคยดีกับเขาหัวเราะยิงฟันตอบ รพินทร์กะพริบตาปริบๆงุนงง นายผินคนขับรถจิ๊ปบรรทุกคันนั้นก็เดินเข้ามาเอียงหน้ากระซิบบอกว่า


     "ของนอกเหนือไปจากบัญชีสั่งของคุณรพินทร์เหล่านี้เป็นของคุณหญิงคนสวยน้องสาวของหม่อมราชวงศ์เชษฐาเธอจัดการสั่งทั้งนั้นแหละครับ ทีแรกผมก็ท้วงแล้วว่าคุณรพินทร์ไม่ได้สั่ง แต่ท่านผู้อำนวยการบอกให้พวกผมขนมา บอกว่ารายการสั่งเพิ่มเติมเป็นของคุณผู้หญิงคนนั้น"
แล้วนายผินก็หัวเราะ
"อย่าว่าแต่อะไรเลยครับ ขนาดเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอก็เข้าไปตั้งสองหีบเหล็กใหญ่ๆแล้ว คุณผู้สองคนนั่นน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องการจัดการสั่งของทั้งหลายเป็นของคุณผู้หญิงทั้งนั้น"
     จอมพรานทำท่าเหมือนจะเป็นลม ยกมือขึ้นกุมขมับ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลอกตา ขณะนั้น ม.ร.ว.เชษฐาและไชยยันต์ก็เดินเข้ามาสมทบตรวจของ พอเห็นสิ่งไม่จำเป็นอันเหลือเฟือต่างๆก็ทำหน้างงๆไปเหมือนกัน พอดีกับที่เสียงตะโกนแจ้วๆของม.ร.ว.ดารินผู้ยืนอยู่บนระเบียงบ้านพัก ร้องสั่งคนงานให้ขนของเหล่านั้นลงด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหีบเหล็กเครื่องใช้ส่วนตัวของหล่อนสองใบ
     "ตายละวา ยายน้อยแกจะไปตั้งพระราชวังสำราญกลางป่าหรือยังไง"
     ไชยยันต์ครางอู้ออกมา เชษฐาจุ๊ปากพร้อมกับโคลงศรีษะช้าๆหันไปมองดูหน้าน้องสาวผู้ยืนมองอยุ่บนระเบียบของบ้านพักปลูกสูกอยู่บนโขดหินใหญ่
"ถึงว่าละซิ นึกแล้วไม่มีผิด ว่าเด็กนี่คงจะต้องทำความยุ่งยากใหญ่ให้แก่พวกเรา"
แล้วก็หันมาทางรพินทร์ หัวเราะด้วยจืดๆ
"คุณรพินทร์คงจะอึดอัดลำบากใจมากนะ"
พรานใหญ่ยิ้มๆ มองดูม.ร.ว.เชษฐาและไชยยันต์ด้วยดวงตาที่แจ่มใสเป็นประกาย เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงมีความเลื่อมใสนิยมและถูกชะตากับสองชายผู้อยู่ในฐานะนายจ้างของเขาตั้งแรกเห็นอย่างบอกไม่ถูก มีอะไรหลายต่อหลายอย่างของบุคคลทั้งสองที่กลมกลืนเข้ากันได้สนิทกับเขา ทั้งเชษฐาและไชยยันต์มีลักษณะเป็นชายชาตรีตามแบบฉบับลูกผู้ชายแท้ๆด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในพวกชาวกรุงที่มีชีวิตหรูหราสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เกิดมาในตระกูลสูง
     "ถ้าผมมีน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนอย่างคุณชาย และเป็นน้องสาวที่รักพี่ชายอย่างที่สุดเหมือนคุณหญิงดาริน ผมก็คิดว่าผมควรจะต้องรักและเอาใจใส่เธอเหมือนอย่างที่คุณชายมีความรู้สึกต่อคุณหญิงดารินในขณะนี้เหมือนกัน ปล่อยเธอตามสบายเถอะครับ อย่าขัดใจเธอเลย"
      รพินทร์พูดด้วยเสียงอ่อนโยนปนหัวเราะน้อยๆ
     พอวันที่สาม รถบรรทุกจากบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ก็มาส่งสัมภาระอีกเที่ยวหนึ่ง เป็นพวกเครื่องเวชภัณฑ์ หีบอาวุธปืน พร้อมเครื่องกระสุน แต่แล้วพรานใหญ่รพินทร์ก็งุนงงไปอีกเมื่อมองเห็นเครื่องพิมพ์ดีดเเบบกระเป๋าหิ้ว กระเป๋าเอกสารที่บรรจุเครื่องเขียน และที่ทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้างไปก็คือเครื่องเล่นจานเสียงสเตอริโอแบบกระเป๋าใช้ระบบทรานซิสเตอร์ และหีบจานเสียง
     ยังไม่ทันที่่เขาจะเอ่ยปากซักถามอะไรกับคนขับรถที่เอามาส่่ง ม.ร.ว.ดารินก็ก้าวอาดๆตรงมาที่รถ บงการลำเลียงขนถ่ายด้วยตัวเอง โดยไม่สนใจกับพรานใหญ่ผู้ยืนซอยเปลือกตาถี่ๆอยู่ก่อนแล้ว
 "พวกเรามีใครเป็นนักประพันธ์อยู่ด้วยหรือครับ?"
เขาถามขึ้นเบาๆบุ้ยปากไปที่เครื่องพิมพ์ดีดและเครื่องเขียน ดารินหันขวับมาโดยเร็ว ตวัดสายตาปราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พูดแบบมะนาวหน้าแล้ง
"ไม่มีใครเป็นนักประพันธ์หรอก มีแต่นักศึกษามานุษยวิทยาที่ทำวิทยานิพนธ์ค้างไว้ยังไม่เสร็จ และในระหว่างเดินทางนักศึกษาคนนั้นจะทำงานส่วนตัวต่อในเวลาที่ว่าง ลูกจ้างผู้เป็นพรานนำทางก็ไม่เห็นจะต้องมาเกี่ยว"
     "อ้อ!"
 เขาลากเสียงยาวหน้าตายอยู่อย่างเดิม มองไปที่เครื่องเล่นจานเสียง
"คุณชายเชษฐา หรือมิฉะนั้นก็คุณไชยยันต์คงจะเป็นนักเพลงที่ขาดเสียงดนตรีมิได้"
     ตางามของ ม.ร.ว.คนสวนเขียวปัดปะหลับประเหลือกขึ้นมาในบัดนั้น ตาเสือสมิงก็เห็นจะไม่คมน่ากลัวเท่า สำหรับพรานใหญ่อย่างรพินทร์
"ของพวกนี้มันเป็นของของฉันทั้งนั้นเเหละ ทำไม...คุณจะขัดข้องอะไรเหรอ ที่ฉันจะเอามันไปด้วย หรอว่าตัวคุณต้องมารับภาระแบกหาม ไหนลองบอกมาซิ ในการที่เราจ้างให้คุณนำทางครั้งนี้ คุณกำหนดโควต้าให้เรามีอะไรติดต้วไปได้บ้าง หรือว่าเราจะต้องปฎิบัติตัวอยู่ในกฎข้อบังคับอะไรของคุณ"
หล่อนพูดเร็วปรื๋อ
     รพินทร์ ไพรวัลย์ ชิดเท่าตรง ก้มศีรษะให้ พูดเสียงหนักแน่นเข็งแรงเหมือนพลทหารรายงานกับผู้บังคับบัญฃา
"หามิได้ครับผม กระผมกำลังเสนอความเห็นว่า ถ้าเราได้โทรทัศน์อีกสักเครื่อง และตู้เย็นอีกสักตู้ไปด้วยในการบุกดงดิบกันกันดารครั้งนี้ คณะของเราคงจะมีความสุขมิใช่น้อยครับผม"
     ดารินหน้าแดงก่ำ จ้องตาเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วก็อุทานอะไรออกมาคำหนึ่งอย่างฉุนเฉียว กระทืบเท้าสะบัดหน้าเดินผละขึ้นไปบนบ้านพักโดยเรว รพินทร์เป่าลมพรูออกทางปาก มองตามหลังร่างงามที่ก้าวฉับๆไปด้วยอารมณ์เดือดดาลเกรีี้ยวกราดตุปัดตุป่องนั้น พร้อมกับโคลงศีรษะช้าๆ คนขับรถของนายอำพลและพนักงานขนของซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วย พากันกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง บางคนเลี่ยงไปบังอยู่หลังรถแล้วปล่อยก๊ากงอหาย
     หัวค่ำของวันนั้น เมื่อรพินทร์ขึ้นไปบนเรือนหลังใหญ่ในเวลาอาหาร เป็นเวลาที่คณะนายจ้างของเขากำลังสาละวนอยู่กับการรื้อสัมภาะสิ่งของออกมาตรวจสอบ เชษฐากับไชยยันต์ง่วนอยู่กับไรเฟิลขนาดต่างๆที่งัดขึ้นมาจากหีบ ส่วนดารินนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่เก้าอี้ไม้ยาว มือหนึ่งคีบบุหรี่ อีกมือหนึ่งถือแก้วบรั่นดี เสียงเครื่องเล่นจานเสียงสเตอริโอดังอยู่แผ่วๆ ที่โต๊ะอาหารต่อด้วยไม้แผ่นเดียวกลางห้อง จุดพราวไปด้วยเทียน ไวน์แดงแช่อยู่ในถึงไม้หมกน้ำแข็ง กับแกล้มสำหรับกินเล่นๆฆ่าเวลาก่อนจะถึงเวลาอาหารแท้จริง มีทั้งจำพวกเนื้อสัตว์ป่าที่ปรุงในลักษณะต่างๆโดยฝีมือพ่อครัวบ้านป่าของเขาและพวกอาหารกระป๋องวางเรียงรายอยู่เต็ม
     คนใช้ชาวพื้นเมืองของเขาสามคนที่มอบไว้ให้สำหรับคอยดูแลรับใช้ปรนนิบัติแขกพิเศษหรือคณะนายจ้าง พากันนั่งอยู่กับพื้น พวกนั้นกำลังชอบอกชอบใจกับเสียงเพลางจากจานเสียง
     เมื่อก้าวเข้าไป และมองดูสภาพของห้องอาหารที่ถูกดัดแปลงอย่างวิจิตรด้วยอาการตื่นๆงงๆเชษฐาและไชยยันต์ก็หันมาร้องทัก
"เป็นไง ห้องไดนิ่งรูมในบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยกลิ่นไอดงพงพีของเราค่ำวันนี้"
ไชยยันต์พูดขึ้นปนหัวเราะอย่างอารมณ์ร่าเริง
"โรแมนติกชวนคลิ้มมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงเทียน ไวน์แดง แล้วก็เซเรเนดเพลงนั้น"
     พรานใหญ่ตอบยิ้มๆ กราดสายตาไปรอบๆ และผ่านแวบไปที่ ม.ร.ว.หญิงดาริน เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นเดี่๋ยวนี้เอง หญิงสาวอยู่ในไนท์กาวน์สีกลีบกุหลาบสด ปล่อยผมสยายยาวผิดไปกว่าทุกวัน ลักษณะของหล่อนอยู่ในสภาพปล่อยกายสบายอารมณ์เหมือนจะอยู่ในห้องอาหารในคฤาสสมบูรณ์พูนสุขของหล่อนเอง หล่อนคงอยู่ในอาการทอดอารมณ์เฉย เหมือนจะไม่เห็นว่าเขาได้ก้าวเข้ามา
"น้อยเขาเป็นคนจัดการขึ้นทั้งนั้น "ม.ร.ว.เชษฐาบอก "เขาบอกว่าค่ำคืนวันนี้จะขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองในการเซ็นสัญญายอมเป็นผู้นำทางของคุณ หรือจะให้พูดให้ตรงท่สุดก็คือ ฉลองในการที่ชีวิตของเราทั้งหมด จะไปร่วมเผชิญกับเหตุการณ์ที่เรายังไม่สามารถทำนายได้ถูกในอนาคตเบื้องหน้า"
     รพินทร์เบิกตาตื่นเล็กน้อย หันไปทางดารินผู้ไม่มองสบตาเขาแล้วก้มศีรษะ
"เป็นความกรุณาเหลือเกินครับคุณหญิง ผมขอรับเชิญนี้ด้วยความยินดี"
"ฉันนึกว่าฉันจะทำความรำคาญ ไม่พอใจให้คุณเสียอีก"
     ดารินพูดชาเย็น พร้อมกับลุกขึ้นยืน รพินทร์หัวเราะขันๆขยับเก้าอี้หัวโต๊ะให้กับหล่อน หญิงสาวทรุดกายลงนั่งพร้อมกับบอกขอบคุณเรียบๆ ม.ร.ว.เชษฐานั่งที่หัวโต๊ะอีกด้านหนึ่ง รพินทร์และไชยยันต์นั่งตรงข้ามกัน
     การร่วมรับประทานอาหารค่ำมื้อนั้น เต็มไปด้วยรสชาติอันน่าตื่นใจสำหรับสามชาย ผู้มีความรู้สึกเหมือนรู้จักสนิทสนมกันมานาน รพินทร์สุภาพอ่อนโยน และสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในฐานะลูกจ้าง โดยไม่มีอะไรบกพร่อง  ทั้งหมดสนทนากันไปพลาง เว้นดารินคนเดียวที่รับประทานอยู่เงียบๆ ขณะที่สามชายชนแก้วและดื่มให้แก่กัน หล่อนก็มิได้ร่วมด้วย เพียงแต่คลึงแก้วไวน์ในมือเฉย รพินทร์ชูแก้วให้แก่หล่อน
"สำหรับคุณหญิงดาริน ผู้กรุณาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงผม"แล้วก็ดื่มรวดเดียวหมด
     หล่อนดูเหมือนจะเลิกคิ้วงามข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ กระดกแก้วไวน์ขึ้นนิดๆแล้วจิบ
     "เซเรเนดบทนี้ไพเราะมากนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศอย่างนี้"
เขาชวนหล่อนพูดอย่างเอาใจ เพราะเห็นนั่งเฉยอยู่ตลอดเวลา
"อ้อ!คุณเข้าใจคุณค่าของดนตรีเหมือนกันหรือ?" ดารินถามเรียบๆพรานใหญ่แทบสำลักไวน์
"ไม่เข้าใจซึ้งนักหรอกครับ เพราะสิ่งแวดล้อมในชีวิตอย่างผม ทำให้ไม่มีโอกาสอภิรมย์กับมันมากนัก ผมเคยได้รับของขวัญจากคุณอำพลชิ้นหนึ่ง เป้นวิทยุทรานซิสเตอร์อย่างดี สำหรับเอาไว้ให้ผมนำติดตัวในเวลาตระเวนป่า แต่น่าเสียดายเหลือเกินพวกช้างป่ามันช่วยกันกระทืบวิทยุของผมพังหมด ตอนที่มันเข้ามาเยี่ยมแค้มป์ผม ในขณะที่ผมไปนั่งห้าง ตั้งแต่นั้นผมก็เลยไม่มีดนตรีฟัง"
     พี่ชายกับเพื่อนของหล่อนหัวเราะครึกครื้น ด้วยอาการพูดแบบหน้าตายของเขา แต่ดารินยักไหล่
     หลังอาหาร อันเป็นเวลาที่นั่งพักผ่อนอยู่กับกาแฟและบรั่นดี หล่อนก็หันมาถามเขาแทรกการสนทนาอื่นๆขึ้นว่า"คุณรู้สึกว่าข้าวของที่เราจะเอาติดไปด้วยเหล่านี้มากมายเกินกว่าจำเป็นหรือ?"
พรานใหญ่ทำหน้าตื่น "หามิได้เลยครับ มหาราชินีในอินเดีย หรือควีนอลิซาเบธ เวลาเสด็จประพาสป่า พระองค์มีสัมภาระข้าวของที่จะโดยเสด็จด้วยตั้งมากมายก่ายกอง มากกว่าคณะของเราหลายเท่านัก"
     ทุกคนรู้ว่านั้นเป็นคำประชดแบบกึ่งสัพยอกล้อเลียนโดยสุภาพของเขา ม.ร.ว.เชษฐา ไชยยันต์ หัวเราะด้วยอารมณ์สนุก ม.ร.ว.หญิงคนสวยหน้าง้ำ หล่อนวางข้อศอกลงกับโต๊ะ เอาฝ่ามือรองรับคางไว้ มองจ้องมายังเขา
     "ความจริงมันไม่น่าจะเป็นภาระอะไรที่น่าวิตกกังวลไปเลย งบประมาณการเดินทางครั้งนี้ เราวางไว้อย่างไม่อั้น และก็ควรจะถือหลักความสะดวกสบายให้มากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ คุณอาจหัวเราะหรือนึกดูหมิ่นฉันในข้อที่ว่าฉันเป็นผู้หญิง เมื่อร่วมคณะเดินทางไปด้วย ฉันก็วุ่นวายจัดเตรียมอะไรชนิดที่ทำให้คุณดูเป็นการมโหฬารเกินความจำเป็นไป แต่คุณลืมนึกไปเสียว่า ฉันเป็นคนรอบคอบและหวังดีต่อพวกเราทุกคน ขอบอกให้ทราบเสียหน่อยนะ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ฉันไม่ใช่ผู้หญิ่งประเภทผิวบาง ที่เหมือนผู้หญิงทั่วไปอย่างที่คุณคิดหรอก ฉันเคยผ่านชีวิตกร้านๆเหนื่อยยากลำเค็ญมามากแล้ว ถึงจะไม่เก่งเท่าคุณ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยลิ้มรสเสียเลย ฉันเคยเดินป่าในแอฟริกาหรือดงดิบแถบอเมริกาใต้ การศึกษามานุษยวิทยาของฉันบังคับให้ฉันต้องบุกบั่นเข้าไปเพราะฉะนั้นถ้าคุณจะระแวงอยู่ในหัวข้อที่ว่าฉันไม่เข้าใจ 'ชีวิตการเดินป่า'ละก็ คุณเข้าใจผิดมาก"
"โอ!..."
รพินทร์อุทานออกมาทำท่าตกใจ แต่หล่อนรู้ว่าเขาอยู่ในอาการล้อเลียนเช่นเดิม
"ผมไม่ได้มีความคิดที่จะดูหมิ่นอะไรคุณหญิงเลยครับ เป็นความสัตย์จริง แต่ผมเกรงไปว่า การศึกษามานุษยวิทยาของคุณหญิง กับการไปเพื่อติดตามค้นหาคุณชายอนุชาคราวนี้ มันอาจไม่เหมือนกันนัก"
"ไม่เหมือนกันยังไง" "ความหมายของ 'การไป' มันแตกต่างกันชัดชัดอยู่แล้วนี้่ครับ คุณหญิง คุณหญิงเคยไปเพื่อการศึกษา ก็คือไปเพื่อการศึกษาแต่ในคราวนี้เราไปเพื่อค้นหาบุคคลที่สาบสูญ ซึ่งเรายังไม่รู้เลย ว่าจะพบเขาหรือไม่ เเละไม่มีกำหนดการว่าเมื่อไหร่ถึงจะสุดสิ้นการเดินทางของเรา เท่าๆที่ยังทายไม่ถูกทั้งสิ้นว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง คุณหญิงเองก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า ภายหลังจากที่ผมได้เซ็นสัญญาการนำทางฉบับนั้นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้ทำพินัยกรรมขึ้นอีกฉบับหนึ่ง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คุณแม่ของผม สิ่งนี้มันยืนยันชัดอยู่แล้วว่า ผมหวังได้น้อยเหลือเกินว่าจะได้กลับมาเลี้ยงดูท่านอีกในการเดินทางครั้งนี้"
ทุกคนนิ่งงันกันไปอีกครั้ง
ม.ร.ว.หญิงดารินเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ยิ้มมุมปาก"เอาเถอะ เราจะไปตายหรือไปพบกับกาลวิบัติเช่นไรก็ตามอย่างคุณว่า ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องทำให้เราละทิ้งความสะดวกสบายเท่าที่เราจะหาได้เสียเลย มันเป็นความหมายว่าสิ่งของต่างๆที่ฉันตระเตรียมมา และคุณเห็นว่าเกะกะรุงรังนี้ ก็เพื่อจะเอาไว้ใช้ต่อสู้แบ่งเบากับความลำเค็ญทุรกันดารในป่า ให้บรรเทาลง เพื่อเราจะได้มีกำลังบุกบั่นกันต่อไป ทำไมคุณไม่คิดอย่างนั้นบ้าง คุณก็รับรองไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า ลูกหาบของเราหาได้อย่างเหลือเฟือ จะเอาสักเท่าไหร่ก็ได้"
พรานใหญ่หัวเราะเบาๆ จุดบุหรี่สูบ เงียบไปครู่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้ม สุภาพราบเรียบว่า
"เอาละครับ ผมจะได้ขอถือโอกาสนี้เรียนให้ทราบชัดถึงการเดินทางของเราเสียที ถูกแล้วครับ ลูกหาบและเกวียนเทียมควาย ที่จะบรรทุกสัมภาระสิ่งของซึ่งเราจะเอาไปด้วย จะหาสักกี่ร้อยก็ได้ แต่มันหมายความถึงว่าคนและกองเกวียนอันเป็นคาราวานของเราเหล่านั้น จะช่วยเราได้เพียงแค่ระยะทางที่เราถึง 'หล่มช้าง'เท่านั้น ต่อจากนั้นพวกเราจะต้องเดินทางกันไปเอง พร้อมกับคนเก่าแก่ของผมโดยเฉพาะอีกเพียง 4 คน ซึ่งพร้อมที่จะร่วมตายกับเราได้ ว่าอันที่จริงผมก็ได้ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกลูกหาบเหล่านั้นเดินทางกันไปด้วยจนถึงขีดสุด แต่ไม่ว่าจะจ้างเขาด้วยเงินจำนวนสูงสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครเอาสักคน พวกเขารู้จุดหมายว่าเราจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาพระศิวะ ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นแดนมรณะ และก็เมื่อถ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วเช่นนัี้น ตามความรู้สึกนึกคิดและเชื่อมั่นของเขา ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะมาหวังค่าจ้างอยู่ เรื่องมันเป็นยังงี้ครับคุณหญิง เพราะฉะนั้นสัมภาระต่างๆที่คุณหญิงตระเตรียมไว้อย่างมากมายเหล่านี้ เราจะใช้มันให้เป็นประโยฃน์ได้ก็แค่เพียงระยะทางที่เราจะเดินไปถึงหล่มช้างเท่านั้น ต่อจากนั้นเราต้องเดินทางกันด้วยเท้าเปล่าตามลำพัง และสิ่งที่จะติดตัวไปได้ก็เพียงแต่เท่าที่กำลังของเราจะเอาไปได้เท่านั้น"
     เขาหยุดหัวเราะเบาๆอีกครั้ง มองประสานตาดำขลับที่จ้องนิ่งมาของหล่อน กล่าววต่อมาว่า "การเดินป่าเพื่อศึกษามานุษยวิทยาของคุณหญิงกับการเดินทางเพื่อตามหาคุณชายอนุชา มันผิดกันชัดๆอีตรงนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณหญิง ที่จะตัดสินใจให้ดีว่า เลิกล้มความตั้งใจเดิมเสีย หรือว่ายังจะคิดไปลำบากยากแค้นกับพวกเราชนิดที่เปล่าประโขชน์"
"รู้สึกว่าคุณพยายามขู่ฉันเสียเหลือเกินนะ"หล่อนพูดเบาๆยิ้มด้วยอาการฝืน
"ไม่ได้ขู่เลยครับ แต่ผมเรียนด้วยความสัตย์จริงเหมือนอย่างที่เรียนไว้แล้วแต่แรก"
"ก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างที่ฉันบอกคุณไว้แต่แรกเช่นกัน ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนความตั้งใจของฉันเสียได้ คุณเดิน ฉันก็เดินไป คุณคลาน ฉันก็คลาน คุณทำอะไรฉันก็ทำไอ้นั้น เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วครับ ก็...เป็นอันว่าหมดปัญหาไปเสียที"
"และก็ขอให้แน่ใจเสียทีว่า ตั้งแต่คุณเกิดมา คุณคงจะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเท่ากับสุภาพสตรีผู้นี้" ไชยยันต์เสริมมาหน้าตาเฉย
     ดารินหันไปมองค้อนเพื่อนชายจนตาคว่ำ ขยับแอปเปิ้ลในมือขึ้น ทำท่าเหมือนจะขว้าง เพื่อนชายร้องลั่นตั้งท่าหลบ บนโต๊ะมีบรรยากาศครื้นเครงขึ้นอีก ในสายตาของรพินทร์ครั้งแรกที่เขามองเห็นไชยยันต์และ ม.ร.ว.ดารินทร์ เขาคิดว่าคนทั้งสองน่าจะเป็นคู่รักกัน แต่แล้วเมือดูๆไปก็รู้แน่ว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรท่จะเอนเอียงไปในด้านชู้สาวแม้แต่น้อย
     ไชยยันต์เป็นคนมีอารมณ์ สนุกสนานร่าเริงอยู่ตลอดเวลา และช่างแหย่ เท่าๆกับที่ดารินก็ขี้งอน โมโหง่าย บางขณะท้งสองทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ
     "ที่หล่มช้างนี่้ใช่ไหมที่คุณได้ข่าวว่าอนุชาทิ้งเกวียนของเขาที่นั่นและเดินบุกบั้นต่อไปพร้อมกับพรานพื้นเมืองอันเป็นคนใช้ของเขาที่ชื่อหนานอิน” ม.ร.ว.เชษฐาถามขึ้นดวยเสียงเคร่งขรึม

“ครับที่นี่แหละเป็นแหล่งสุดท้ายเหมือนอย่างที่ผมเรียนแล้วว่า เราจะต้องทิ้งสัมภาระไม่จำเป็นของเราทั้งหมดไว้ที่นั่นคุณชายอนุชาจำต้องละเกวียนและเดินทางไปตามลำพังกับคนใช้ร่วมตาย ก็เพราะเหตุผลที่เรียนแล้วคือ ไม่มีใครที่จะยอมสมัครร่วมทางไปด้วย”


“เราจะใช้ระยะเวลาเดินทางกันสักกี่วัน ถึงจะถึงหล่มช้าง”
ไชยยันต์หันมาถามขึ้นบ้าง น้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงานขึ้น

“ประมาณ 2 อาทิตย์ครับ”

“แล้วต่อจากนั้น?”ดารินเอ่ยขึ้นลอยๆขณะที่ใช้เล็บขีดโต๊ะเล่น

“สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ได้” ม.ร.ว.เชษฐาจุดกล้อง รู้สึกว่าเขาจะใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง “ตามแผนคุณบอกไว้ว่าเราจะใช้คนอาสาสมัครร่วมตายกับเรา 5 คน เดินทางไปด้วยไม่ใช่หรือ ภายหลังจากออกจากหล่มช้าง”

“ครับ”

“หาได้ครบหรือยัง?”

“เราได้มาสี่คนครับ เป็นพรานพื้นเมืองมือดีที่เคยร่วมเดินป่ารู้เห็นนิสัยและฝีมือพอจะไว้วางใจได้ พวกเขาอาสาสมัครอย่างเต็มใจเพราะรักใคร่นับถือผม ยังขาดอยู่เพียงคนเดียว ผมประกาศหาไปในหมู่พวกเขาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครมาสมัคร คงมีอยู่แค่สี่คนเท่านั้น แต่เราก็จะไม่รออีกแล้วเมื่อถึงกำหนดเริ่มเดินทาง เราจะออกเดินทางทันที ถึงแม้จะขาดไปคนหนึ่งตามแผนที่เรากำหนดไว้เดิมก็ช่างมัน”

     ว่าแล้วรพินทร์ก็โผล่หน้าต่างออกไปตะโกนสั่งอะไรกับคนของเขาโหวกเหวกเป็นภาษาพื้นเมือง ครู่เดียวชาวบ้านป่าสี่คนก็เดินขึ้นมาบนเรือน ต่างทรุดกายลงกับพื้น และพนมมือไหว้คณะเดินป่าชาวกรุงทั้งสาม แล้วนั่งสงบเสงี่ยมอยู่

“นี่ยังไงละครับ สี่คนที่จะไปกับเราด้วยจนถึงที่สุด” พรานใหญ่แนะนำเป็นรายตัว ให้คณะนายจ้างของเขารู้จัก บุญคำ...เป็นชายร่างผอมสูง อายุประมาณ 55ปี เส่ย..เป็นกระเหรี่ยงล่ำสันแข็งแรง ดูแกร่งไปทั่งตัว อายุอยู่ในวัยฉกรรจ์ จัน...ตัวเล็กนิดเดียว เคี้ยวใบกระท่อมอยู่ตลอดเวลา แต่ผิวพรรณและท่าทีบอกชัดว่าชำนาญต่องานกรากกรำเพียงไร และเกิด...เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างชะลูดอ้อนแอ้นแต่เหี้ยมหาญ บึกบึน

     ทุกคนมองดูพรานพื้นเมืองอาสาสมัครเหล่านั้นด้วยความพอใจ พูดจาทักท่ายด้วยครู่หนึ่ง รพินทร์ก็พยกหน้าบอกให้คนเหล่านั้นออกไปได้

     “ระยะทางก่อนที่เราจะไปถึง หล่มช้างถ้าหากเราจะคิดล่าสัตว์ไปด้วย ก็จะทำได้อย่างเต็มที่ครับ” พรานใหญ่อธิบายต่อไป “ผมรับรองว่าจะมีสัตว์ให้ล่าทุกชนิด นับตั้งแต่เล็กสุดไปจนกระทั่งใหญ่สุด ความจริงระยะทางระหว่างนี้ก็เป็นป่าลึกและถ้าไม่ชำนาญลู่ทางมาก่อน ก็ไม่มีหวังจะไปถึงหล่มช้างได้ นอกจากจะหลงเสียก่อน เราจะสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ และได้ใช้ประโยชน์ในสัมภาระสิ่งของที่คุณหญิงตระเตรียมมาอย่างเต็มที่ด้วย เพราะมีคาราวานเกวียนควายไปกับเราอย่างอบอุ่นคับคั่ง ระยะทางตอนนี้จะเป็นการพักผ่อนเที่ยวป่าไปในตัว แต่ภายหลังจากเริ่มต้นเดินทางที่หล่มช้าง ความหมายในการเดินทางของพวกเราจะเปลี่ยนไปในอีกลักษณะหนึ่งทันที ของทุกอย่างเราจะฝากไว้กับหัวหน้ากะเหรี่ยงที่หล่มช้าง พวกลูกหาบก็จะได้เดินทางกลับ และเราเดินทางต่อไปด้วยสัมภาระจำเป็นเท่าที่จะนำติดตัวไปได้เท่านั้นอย่างที่เรียนแล้ว เพราะถ้าเราขนมันไปด้วยมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับเราแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่านั้น”

     “เราพอจะเอาเกวียนไปด้วยสังคันหนึ่ง และเราควบคุมเองไม่ได้หรือครับ เมื่อออกจากหล่มช้าง”ไชยยันต์เสนอความคิดเห็น

     จอมพรานยิ้มนิดๆสั่นศีรษะ “เห็นจะไม่มีหวังหรอกครับ ถ้าทำได้คุณชายอนุชาก็คงจะทำเสียก่อนแล้ว เกวียนต้องใช้ความเทียม และระยะที่เราจะเดินกันต่อไปหลังจากจุดหมายปลายทางสุดท้าย ควายจะต้องตายเพราะขาดน้ำและความทุรกันดารภายในไม่เกิน 7 วัน อีกอย่างหนึ่ง เราต้องปีนภูเขาด้วย เกวียนควายไม่สามารถจะตามไปได้ ขืนเอาไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องไปทิ้งเกวียนเสียกลางทาง”

พร้อมกับพูดจบ รพินทร์ก็คลี่แผนที่ออกให้ทุกคนดู “นี่ยังไงละครับ เป็นแผนที่ซึ่งมหานรธาเขียนไว้ เมื่อเกือบสี่ร้อยปีก่อนโน้น เราจะเริ่มใช้แผนที่นี้ตั้งแต่เริ่มออกจากหล่มช้างอาจเรียกได้ว่าหลับตาเดินไปในความมืดก็ได้”

     ทั้งหมดเข้ามาดู รพินทร์อธิบายจุดหมายในแผนที่ให้ทราบคร่าวๆ “ก็น่าชมเหมือนกันนะ ในการที่เราจะใช้แผนที่ซึ่งเขียนขึ้นจากมือของคนสมัยสี่ร้อยปีก่อนเป็นเครื่องนำทาง”ดารินครางออกมา

“ถึงอย่างไรก็ตาม เราต้องพึ่งแผนที่อันนี้แน่ๆ แม้จะเป็นการเสี่ยงขนาดไหน”

ไชยยันต์ว่า ภายหลังจากเพิ่งพิศแผนที่ฉบับคร่ำคร่านั้น “ผมเชื่อถึง 90 เปอร์เซ็นว่าจะอย่างไรเสีย มันก็จะต้องมีเค้ามาจากความจริง”

     ม.ร.ว.เชษฐาพึมพัมอัดควันไปป์ลึก แล้วปล่อยให้ระบายออกมาทางช่องจมูกเป็นทางยาว หน้าเครียดขรึม

“ลักษณะของป่าอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ในระยะเวลาสี่ร้อยปี แต่พวกภูเขาก็จะต้องอยู่ในลักษณะเดิม เชื่อว่าพอจะคลำได้ถูก เอาละ เราพับแผนที่นี้เก็บไว้เสียก่อน มานี่แนะ คุณรพินทร์ มาดูปืนกันดีกว่า ผมขนมาจากกรุงเทพอย่างเหลือเฟือทีเดียว และต้องขอความเห็นความแนะนำจากคุณบ้างในฐานะที่คุณเดินป่ามานาน”

     เชษฐาฉุดแขนรพินทร์ให้ตรงไปที่หีบลังปืนขนาดต่างๆ อันว่างอยู่มุมห้องอย่างกระตือรือร้น ไชยยันต์และดารินเดินตามมาด้วย เชษฐาหยิบปืนขึ้นมาส่งให้พรานใหญ่ดูทีละกระบอก เขารับมาดูอย่างสนใจ ออกปากชมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไรเฟิลแฝดขนาด .600ไนโตรเอกซเปรส ซึ่งด้ามและพานท้ายปืนแกะสลักไว้อย่างวิจิตรตระการตา น่าจะเป็นปืนตั้งโชว์เสียมากกว่าที่จะเอามาใช้สมบุกสมบันในป่า

“เป็นไงนายพราน คุณเคยยิงปืนขนาดนี้ไหม?” ดารินถามยิ้มๆ ขณะเห็นเขาลูบคลำอยู่อย่างพออกพอใจ

“อย่าว่าแต่เคยยิงเลยครับ ตัวจริงของมันผมก็เพิ่งเคยเห็นเคยแตะต้องครั้งนี้เป็นครั้งแรก นอกเหนือไปจากการเห็นในแคตตาล็อก” จอมพรานตอบอย่างสงบ ยกขึ้นส่องดูศูนย์

“ลองดูซักนัดสิ แล้วคุณจะได้รู้ไดโนเสาร์ ถ้ายังมีเหลืออยู่ก็ล้มทั้งยืน”

“ไม่หรอกครับ ผมกลัวว่าตัวผมเองจะถูกอำนาจสะท้อนถอยหลังของมัน ถีบล้มลงเสียก่อนที่ไดโนเสาร์จะล้ม” รพินทร์พูดยิ้มๆแล้วก็เปลี่ยนไปหยิบ.458แอฟริกันแม็กนั่มขึ้นมากระชากลูกเลื่อนทดลองดู ปากก็พึมพำต่อไปว่า “ให้ตายซิ ผมเห็นคลังปืนของคุณชายแล้ว ตื่นเต้นเสียกว่าได้เห็นขุมเพชรพระอุมาเสียอีก มันน่ารักไปเสียทุกกระบอก และคนอย่างผมก็คงไม่มีปัญญาจะหามันมาเป็นสมบัติได้ แต่...น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้าเราขนมันไปหมดก็ต้องแปลว่าเราต้องเอามันไปทิ้งไว้ชั่วคราวที่หล่มช้าง ซึ่งยังไม่รู้แน่เลยว่าจะได้กลับมาเอามันคืนไปหรือเปล่า”

“ตามปกติ คุณใช้ปืนขนาดและชนิดไหนเป็นปืนประจำมือเวลาเข้าป่า?”เชษฐาถาม

“สำหรับคนอื่นผมไม่ทราบนะครับ แต่สำหรับผมเอง ผมใช้ปืนอยู่เพียงสามชนิดเท่านั้น ชนิดหนึ่งคือลูกซองสำหรับเก็บสัตว์เล็ก สัตว์หนังอ่อนบางจำพวก และสำหรับนั่งห้างในเวลากลางคืน ซึ่งใช้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยศูนย์ ชนิดที่สองก็ไรเฟิลขนาด 30-06ซึ่งใช้โดยสถานการณ์ทั่วๆไป แต่ถ้าช้างมันกวนหรือต้องการจะตามรอยกระทิง ผมก็ใช้.375 เอชแอนด์เอชแม็กนั่ม ซึ่งมันก็เหลือเฟือแล้ว ปืนของผมก็เป็นปืนตลาดพื้นๆธรรมดา ราคาถูก ไม่พิเศษมีลวดลายสวยงามเหมือนปืนที่คุณชายขนมาเหล่านี้”

“คุณใช้.375ล่อช้างกับกระทิง!” ไชยยันต์อุทานออกมา ลืมตาโต

“โอโฮ มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเร้อ”

“มันอาจเสียงไปหน่อยครับ สำหรับพรานสมัครเล่น แต่สำหรับพรานอาชีพอย่างผม ถึงเสี่ยงยังไงก็ต้องยอม เพราะผมไม่มีปัญญาที่จะไปหาปืนที่มีขนาดใหญ่ อานุภาพดีไปกว่านี้ได้ มันเกี่ยวกับทุนทรัพทย์”คำตอบที่เต็มไปด้วยการถ่อมตัวอย่างสุภาพของเขา ทำให้ทุกคนหัวเราะ ดารินตวัดหางตาอย่างไม่วายหมั่นไส้

“ไม่ใช่งั้นกระมัง มันอาจเป็นเพราะคุณถือว่ามืออย่างคุณยิงนัดเดียวต้องอยู่ ถึงได้กล้าใช้ปืนแคลิเบอร์ขนาดกลางล่าสัตว์ขนาดใหญ่ แต่สำหรับพววกเรา อย่างนี้ที่สุด ถ้าเจอะช้างหรือกระทิง ก็ต้องขอถือไอ้กระบอกที่มีลำกล้องโตๆไว้ก่อน แม้ว่าเราจะไม่ได้ยิงมันก็ตาม” หล่อนพูดเยาะๆ รพินทร์ยิ้มเฉยเสีย ไชยยันต์ก็เอ่ยมาว่า

“ใช่ มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ สัตว์ทุกชนิดลงถ้ายิงเข้าที่สำคัญได้ทุกนัดเหมือนสั่งปัญหาเรื่องปืนเล็กปืนโตก็ไม่มีความหมาย ข้อนี้ผมแน่ใจเพราะวันนั้นคุณคงจะไม่หัวเราะเรานะ หากเห็นผมกับเชษฐาเลือกเอาพวกดับเบิ้ลไรเฟิล เรายอมรับว่าเราไม่ชำนาญเท่าคุณ และก็ออกจะขี้ขลาดอยู่สักหน่อยขอเลือกวิธีปลอดภัยไว้ก่อน”

“แต่ต่อให้ .600ไนโตรเอซเปรสกระบอกนี้ ถ้าแกกะยิงหัวช้างแต่ไปถูกหางมัน ก็ไม่ช่วยให้แกรอดจากการถูกช้างกระทืบได้ จริงไหม คุณรพินทร์”

เชษฐาแย้งมาหน้าตาย ทุกคนหัวเราะขึ้นอีก

“ว่าอันที่จริงถ้าจะพิจารณาถึงภูมิประเทศในบ้านของเราที่เป็นดงทึบ ชนิดที่เรายิงสัตว์ใหญ่กันในระยะแทบจะประชิดตัวกันแล้ว ผมมีความเห็นด้วยครับว่าปืนไรเฟิลแฝดที่มีขนาดใหญ่               จะให้ผลมากทีเดียว เท่าที่ปรากฎอยู่ตลอดเวลานั้นเราพบช้างห่างจากตัวเราในระยะแทบจะเรียกว่าเผาขน คือพอโผล่ซุ้มไม้ก็เห็นยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าแล้ว  ในกรณีนี้ดับเบิ้ลไรเฟิลขนาดใหญ่ ให้ความเชื่อมั่นและปลอดภัยกับเราที่สุด แต่ก็มีข้อเสียอยู่หมือนกัน คือถ้าสองนัดในลำกล้องที่บรรจุไว้ ไม่สามารถจะหยุดมันลงได้โดยเฉียบขาด โอกาสซ้ำของเราจะไม่มีเหลืออยู่เลย แต่ถ้าเป็นปืนแบบโบ้ล์ทแอ็คชั่น หรือลูกเลื่อน ซึ่งบรรจุกระสุนได้มากกว่า ถึงแม้จะมีขนาดย่อมกว่าหน่อย เราก็สามารถจะยิงซ้ำได้ในวงกระสุนที่มากกว่านั้น ก็ดีและเสียไปคนละอย่าง จะให้ประเสริฐสุดละก็ เราควรจะมีปืนทุกขนาดไปด้วย และเลือกใช้ให้ถูกต้องกับสถานการณ์แต่ละครั้ง ปัญหามันก็มีแต่เพียงว่า เราจะมีปัญญาหอบมันไปได้หมดหรือเปล่าเท่านั้น”

“เป็นอันว่าเราขนไปให้หมดก็แล้วกัน ในระยะทางที่ก่อนจะถึงหล่มช้าง จะได้ล่าสัตว์กันให้สนุก หลังจากนั้นแล้ว เราค่อยมาพิจารณาเลือกกันอีกคร้งว่า เราจะใช้ปืนขนาดไหนเป็นปืนประจำมือในการเดินทางมหาวิบากของเรา”

    ไชยยันต์ลงความเห็น เชษฐาและดารินก็เห็นพ้องด้วย จอมพรานไม่คัดง้างหรือสนับสนุนเช่นไร เพียงแต่บ่นว่าเขาเสียดายที่ปืนเหล่านั้นจะต้องนำไปฝากไว้ที่หล่มช้างไม่สามารถจะนำติดตัวไปด้วยได้ทั้งหมด ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสูญหายอย่างใดหรือไม่เมื่อกลับมา แต่คณะนายจ้างของเขาทั้งหมดไม่แสดงความกังวลในข้อนั้น

“ในการเดินป่าคุณใช้ปืนสั้นติดตัวไปด้วยหรือเปล่า?” ผู้ถามคือไชยยันต์ ขณะที่งัดอีกหีบหนึ่งซึ่งเป็นหีบและเครื่องกระสุนปืนสั้นโดยเฉพาะ

“ไม่เลยครับ มันไม่จำเป็นสำหรับผม ผมมีแต่มีดเดินป่าเท่านั้น แต่ถ้าพวกคุณเตรียมปืนสั้นมาด้วยในการเดินทางครั้งนี้ผมก็ขอสนับสนุนและเห็นด้วยว่า ควรจะมีติดตัวในการออกเดินทางจากหล่มช้าง”

     ไชยยันต์งัดเอาปืนสั้นขนาด.44แม็กนั่ม แบบซิงเกิ้ลแอ็คชั่นมาสามกระบอก เป็นขนาดที่มีลำกล้องยาว 6 นิ้ว และมีขนาด.357 อยู่กระบอกหนึ่ง กะทัดรัดสวยงาม ซึ่งรพินทร์คิดว่ามันน่าจะเป็นปืนสั้นติดตัวของ ม.ร.ว.ดาริน เมื่อไชยยันต์ส่งมาให้ เขาก็รับมาชมอย่างคนที่มีนิสัยรักปืนทั้งหลาย

“ผมเตรียมมาสำหรับพวกเราโดยเฉพาะ”ไชยยันต์บอก

“.357 กระบอกนั้นเป็นของดาริน เขาถนัดมันมาก ผมเองกับเชษฐา อันที่จริงก็ไม่ใช่นักยิงปืนสั้นชั้นดีอะไรนัก ที่ติดมาด้วยก็คิดว่ามันอาจช่วยเราได้ในนาทีคับขันที่สุด สำหรับคุณที่ถามเมื่อกี้ก็ต้องการทราบว่าคุณใช้ปืนสั้นเป็นประจำหรือเปล่า ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว และเป็นปืนที่ถนัดมือคุณก็แล้วไป แต่ถ้ายังหวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจที่จะรับเอา.44ไปสักกระบอกหนึ่ง เราทั้งหมดเตรียมมาสำหรับเป็นของขวัญแก่คุณ”

“โอ!เป็นพระคุณอย่างสูงทีเดียวครับ”เขาอุทานออกมาเบาๆมองไปยังคณะนายจ้างทุกคนด้วยสายตาแสดงความขอบคุณ รับปืนสั้นกระบอกหนึ่งมาเดาะ ชั่งน้ำหนักในมือแล้วง้างนกในจังหวะฟรี หมุนลูกโม่เล่น เชษฐาส่งกล่องลูกปืนมาให้

”คุณลองดูก็ได้นี่ ตามทฤษฎีเขาบอกไว้ว่า ถ้าเกิดความจำเป็นขึ้นมาจริงๆ.44แม็กนั่มสามารถที่จะหยุดสัตว์ใหย๋ที่มันชาร์จสวนเข้ามาได้ โดยอานุภาพขนาดน้องไรเฟิลทีเดียว แต่ผมเองก็ยังไม่กล้ารับรองทฤษฎีนี้ ติดตัวมาด้วยก็เพื่อจะให้อบอุ่นปลอบขวัญตัวเองเท่านั้น ในกรณีที่ถ้าไรเฟิลมันหลุดไปจากมือ อย่างน้อยเราก็ไม่ถึงกับมือเปล่านัก”

     จอมพรานหัวเราะหึๆในลำคอ แกะกล่องกระสุนออกหยิบลูกขึ้นมาบรรจุใส่รังเพลิงทีละนัดจนครบ แล้วคว้าไฟฉายล่าสัตว์ขนาดแปดท่อน ส่องปราดออกไปทางหน้าต่าง

     ทุกคนเข้ามายืนมุง ดารินยิ้มหยันๆเดินกอดอกเข้ามาดูอยู่ด้วย รพินทร์ส่ายกราดไปมา แล้วส่องจับไปยังลูกมะขวิดป่าที่ห้อยระย้าอยู่บนต้นสูงใหญ๋ ห่างออกไปประมาณ 25 เมตรง้างนกขึ้นช้าๆ ส่องปืนออกมา

“ปืนสั้น ไม่เหมือนปืนยาวนา นายพราน แต่...ได้ข่าวว่าคุณเคยเป็นนายตำรวจตระเวนชายแดนมาก่อนไม่ใช่หรือ”

     เสียงใสของดารินดังขัดขึ้น รพินทร์ชะงัก คู่ปรับคนสวยของเขาเล่นงานเขาเข้าให้อีกแล้วร้ายจริงๆม.ร.ว.หญิงคนนี้เขาคิด

จอมพรานยิ้มเล็งต่อไปแล้วลั่นไกเสียงของมันแผดระเบิดกึกก้องร้าวแก้วหู ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าดงพงพีที่แวดล้อมอยู่

มะขวิดลูกที่เขาเล็งยิง ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลย

“เหลว!เสียงหวานใสร้องขึ้นเบาๆยั่วเขาโดยเจตนา

รพินทร์เล็งอีก และปล่อยกระสุนออกไปอีกอย่างแช่มช้าทั้งสามนัดต่อมามันไม่ได้เข้าเป้าหมายเลย พรานหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกับโคลงศีรษะ เชษฐา ไชยยันต์ ตบไหล่เขายิ้มๆแต่ดารินพูดลอยๆมาอีกว่า

“ศิลปะการยิงปืนยาวกับปืนสั้น มันไม่ยักเหมือนกันนะ คุณตัดสินใจถูกแล้วที่ใช้มีดเดินป่า แทนปืนสั้นติดตัว”

เขาไม่ได้ตอบคำใดทั้งสิ้น นอกจากหัวเราะพร้อมกับพูด ดารินควา.357 ของหล่อนขึ้นมาบรรจุกระสุน หัวเราะเห็นฟันขาวสะอาดเป็นระเบียบงามแล้วก็พยักหน้า

“ไหน ส่งไฟเหมือนอย่างตะกี้นี้อีกซิ”

รพินทร์คงยิ้มอยู่เช่นนั้น ส่องไฟให้จับไปที่ลูกมะขวิดลูกเดิม ดารินชำเลืองหางตามองดูเขา รู้สึกคล้ายๆกับว่าหล่อนจะย่นหน้าให้นิดหนึ่งแล้วสะบัดหน้าไปทางเป้า เส้นผมสยายปลิวกระจาย หล่อนยกปืนขึ้น

เปรียง!!

มะขวิดลูกนั้นกระจายแวบเป็นสะเก็ดเห็นชัดในแสงไฟและโยนตัวห้อยแกว่งอยู่ไปมาด้วยอำนาจของกระสุนที่เจาะผ่านไป

อีกห้าเปรี้ยงที่หล่อนปล่อยติดต่อกันออกไป เข้าเป้าหมายทุกนัด และนัดสุดท้ายมะขวิดลูกนั้นถูกปลิดออกจากขั่วร่วงหายลงไปเบื้องล่าง

     แล้วม.ร.ว.หญิงคนสวยก็วางปืนลงกับโต๊ะช้าๆ หันมามองดูหน้าจอมพราน พลางเดินไปทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้ยาวตัวเดิม ทอดแขนทั้งสองข้างกางโอบไปตามพนักพิงทำเป็นเอียงหน้าขึ้นมองดูเปลวเทียน ซึ่งจุดอยู่บนเชิงข้างๆเฉย เอาลิ้นดุนแก้ม

     รพินทร์ ไพรวัลย์ชิดเท้าตรง ก้มลงโค้งคำนับให้หล่อนอย่างงดงามที่สุดเป็นเครื่งหมายยอมแพ้ เชษฐาบ่นอะไรน้องสาวพึมพำ เดินมารินบรั่นดีดื่ม แต่ไชยยันต์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกับจอพราน

     “เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่คุณยกให้ยายน้อยเสียคน ถ้าคุณขืนแข็งละก็ แม่เฮี้ยวไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ขนาดทำอะไรใครไม่ได้เลย นอนดิ้นปัดๆร้องไห้กรีดๆก็เอา แกเขม่นคุณเรื่องที่คุณพยายามทักท้วงไม่ให้แกไปด้วยนั่นแหละ ยอๆเอาใจเสียหน่อยเดี๋ยวก็ดีเอง นิสัยของน้อยเป็นงี้เอง ความเป็นผู้หญิงกับผู้ชายปนอยู่ในตัวเขาอย่างละครึ่ง อะไรๆก็ดีพร้อม เสียอย่างเดียวขึ้เอาแต่ใจตัวเอง”

“ผมไม่ได้แกล้งยกให้หรอกครับ ผมยิงปืนสั้นสู้คุณหญิงไม่ได้จริง”จอมพรานกระซิบตอบ อดีตนายพันตรีหนุ่มตบหลังเขาโดยแรงหัวเราะก๊าก

“โธ่!คุณรพินทร์ คุณหลอกยายน้อยได้สำเร็จนะดีแล้ว แต่อย่ามาหลอกผมกับเชษฐาหน่อยเลย เรามันผู้ชายด้วยกัน ตามกันทันหรอกน่ะ”

     ค่ำของวันรุ่งขึ้น มันเป็นอาหารเย็นร่วมกันมื้อสุดท้ายที่จะมีขึ้นได้ ณ บ้านพัก หนองน้ำแห้ง ของพรานใหญ่รพินทร์ ทุกสิ่งทุกอย่างในการเดินทางได้ถูกตระเตรียมพร้อมสรรพแล้ว กำหนดเริ่มต้นออกเดินทางคือย่ำรุ่งของวันรุ่งขึ้น

     ระหว่างที่ทุกคนนั่งจิบกาแฟสนทนากัน ภายหลังจากอาหารค่ำได้ผ่านไปแล้ว บุญคำ พรานพื้นเมืองอาวุโส มือขวาคนสนิทของรพินทร์ อันเป็นคนหนึ่งในจำนวนสี่คนที่จะเดินทางร่วมเป็นร่วมตายไปด้วย ก็ขึ้นมารายงานว่ามีกะเหรี่ยงต่างถิ่นแปลกหน้าคนหนึ่งจะเข้ามาขอพบเขา

“ใคร?”รพินทร์ขมวดคิ้วถามต่ำๆ

“เคยคุ้นๆหน้าแต่จำชื่อมันไม่ได้ เป็นคนหนุ่ม”

“มาคนเดียว”

“ครับ คนเดียว”

“บอกหรือเปล่าว่ามีธุระอะไร?”

“ผมถามมันไปแล้วครับ มันบอกแต่เพียงมันจะมาขอพบนาย อ้อ!มันเรียกนายว่า ผู้กอง

     รพินทร์ยิ่งงงจัด ใครก็ตามที่เรียกเขาว่าผู้กอง อันเป็นตำแหน่งเดิมของเขา ในขณะที่ยังรับราชการเป็นนายตำรวจตระเวนชายแดน ก็ย่อมแสดงว่าบุคคลผู้นั้นรู้จักอดีตเขามาอย่างดี โดยปกติแล้วพรานพื้นเมืองทั่วไปไม่เคยเรียกเขาเช่นนี้เลย

“เขาอาจมีธุระสำคัญอะไรกับคุณก็ได้” ม.ร.ว.เชษฐาพูดขึ้นเบาๆ

จอมพรานพยักหน้ากับคนของเขาบอกว่า”ให้เขาขึ้นมาบนนี้ซิ บุญคำ”

บุญคำรับคำแล้วผละลงไป เพียงอึดใจเดียวก็นำร่างของใครคนหนึ่งก้าวเข้าประตูห้องมา สายตาของรพินทร์และทุกคนมองไปยังร่างนั้นเป็นเป้าหมายเดียวกัน

     สูงตระหง่านขนาดหกฟุต ผิวเป็นสีทองแดง ตาใหญ่คมกริบ ในกรอบลึกเป็นประกายสดใส ผมหยักศกยาว ปรกท้ายทอย รพินทร์ ไพรวัลย์ จ้องร่างนั้นอย่างพินิจ เขาบอกกับตัวเองว่า เขาไม่เคยเห็นชาวป่าหรือกะเหรี่ยงคนไหนมีรูปร่างและใบหน้าคมสันเท่าเจ้าหนุ่มร่างยักษ์ผู้นี้มาก่อนเลย

     อายุของชายผู้นั้นประมาณ 25 ถึง 30 ปีเป็นอย่างสูงแต่งกายแบบพวกพรานกะเหรี่ยงอย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป ในมือถือปืนวินเชสเตอร์ขนาด.44-40 แบบโบราณ กระบอกเก่าคร่ำคร่าอันเป็นปืนบนหลังสม้าสมัยที่ใช้กันในต้นศตวรรษที่ 19

     ใบหน้านั้น คลับคล้ายคลับคลาต่อสายตาของรพินทร์อย่างไรชอบกล ว่าจะเคยเห็นมาก่อน แต่ขณะนี้เขานึกไม่ออก

     หนุ่มกระเหรี่ยงผู้นั้น เมื่อก้าวเข้ามาแล้วก็ทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิกับพื้น วางปืนไว้ข้างๆตัว ยกมือไหว้เคารพมายังจอพราน แล้วก็นั่งนิงอยู่ด้วยอาการสงบสำรวม

“แกชื่ออะไร”

“แงซาย”

เป็นเสียงห้าวต่ำ มีกังวาล ผ่านออกมาจากลำคออวบใหญ่นั้น

“เอ...ดูเหมือนฉันจะคุ้นหน้าแกมาก่อนนะ”

ใบหน้านั้นปรากฎรอยยิ้มกว้าง มองเห็นฟันสะอาดเป็นระเบียบ “ถูกแล้วครับ ผู้กอง ท่านกับผมเคยพบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ที่ห้วยกวาง ในวันก่อนหน้าที่กองโจรกระเหรี่ยงจะบุกเข้าทำลายค่ายตำรวจตระเวณชายแดนหนึ่งวัน”

     รพินทร์ ไพรวัลย์เบิกตากว้าง เขาระลึกขึ้นมาได้แล้ว สมัยที่เขายังเป็นผู้บังคับกองตำรวจตระเวนชายแดนประจำค่าย หมีดำครั้งที่มีการสู้รบกับพวกกองโจรกะเหรี่ยงคนนี้มาก่อนแล้วเป็นการพบกันในวันสุดท้ายก่อนหน้าที่ค่าย หมีดำจะถูกกองโจรบุกเข้าโจมตีทำลายย่อยยับลง ซึ่งในครั้งนั้นเขาตีหักการรบอย่างชุลมุน ประจัญบานเอาชีวิตรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด

     เจ้าแงซายคนนี้เองปลอมตัวเป็นชาวพื้นเมืองบ้านป่าเข้ามาป้วนเปี้ยนเลียบเคียงสอดแนมใกล้กับบริเวณที่ตั้งค่ายของเขา หมอได้พูดเป็นเชิงบอกใบ้เตือนให้เขารู้ตัวว่าค่าย หมีดำไม่อยู่ในฐานะแข็งแรงมั่นคงเพียงพอที่จะตั้งรับการบุกโจมตีของกองโจรกะเหรี่ยงได้ และพูดเป็นนัยเหมือนจะเตือนให้เขาเร่งปลีกตัวหนีเอาตัวรอดไปเสียก่อน ซึ่งในขณะนั้น เขาแทบจะยิงหมอทิ้งเสียเพราะความเดือดดาลที่ถูกสบประมาท แต่แล้วเมื่อค่ายหมีดำถูกขยี้แหลกพินาศลงจริงๆในวันรุ่งขึ้น เขาก็หวนคิดไปถึงคำพูดของหนุ่มกระเหรี่ยงคนนั้นได้ และยังจำได้จนกระทั่งบัดนี้

เดี๋ยวนี้หมอนั่น เข้ามานั่งอยุ่ตรงหน้าเขาเดี๋ยวนี้เอง

“อ้อ!ฉันจำแกได้ละ แงซาย” รพินทร์พูดออกมาด้วยเสียงขรึม จ้องนิ่งไปยังกะเหรี่ยงผู้นั้น

“เสียดายเหลือเกินนะ ที่ฉันได้พบแกเมื่อฉันออกจากหน้าที่ราชการแล้ว วันนั้นแกเข้ามาสอดแนมใช่ไหม และวันรุ่งขึ้น แกก็จะต้องเป็นคนหนึ่งในกองกำลังของพวกโจรกะเหรี่ยงบุกเข้าทำลายค่ายตำรวจตะเวนชายแดน”

แงซายยิ้ม ก้มศีรษะรับอย่างกล้าหาญ “เป็นจริงตามที่ท่านพูดครับ ผู้กอง”

“เอาหละ แกมาหาฉันด้วยธุระอะไร คิดจะปล้นสถานีกักสัตว์ของฉัน แล้วก็เข้ามาเตือนให้ฉันได้รู้ตัวไว้ล่วงหน้าก่อนเหมือนเมื่อครั้งนั้นหรือ?”

“หามิได้ครับผู้กอง ผมมาพบท่านอย่างชาวดงเร่ร่อนพเนจรคนหนึ่ง ไม่ได้มาอย่างศัตรูของท่านเหมือนสมัยนั้น”

“เอาล่ะ ว่าธุระของแกไปซิ”

“คืออย่างนี้ครับ ผมได้ยินข่าวมาว่า ท่านจะออกเดินทางบุกดงไปทางด้านเหนืออันเต็มไปด้วยความกันดาร เพื่อบ่ายหน้าไปยังขุนเขาพระศิวะอันไกลโพ้น ข่าวนี้เป็นความจริงหรือเปล่าครับ?”

รพินทร์หันไปมองดูหน้าคณะนายจ้างของเขา เชษฐา ดาริน และไชยยันต์ ผู้นั่งมองและฟังอย่างสนใจ ตั้งแต่หนุ่มกะเหรี่ยงร่างใหญ่ก้าวเข้ามา บัดนี้ต่างก็มองดูตากัน

“ใช่ เป็นความจริง ทำไมหรือ?” ม.ร.ว.เชษฐาตอบแทนมา

“และท่านก็ประกาศรับสมัครคนใช้ ที่จะเดินทางไปกับท่านด้วย?”เสียงห้าวลึกนั้นกล่าวต่อมา

“ถูกแล้ว แกจะมาขอสมัครไปกับเราด้วยกระมัง?” ไชยยันต์ถามมาโดยเร็ว

“ครับ ผมขอสมัครเป็นคนรับใช้ของท่าน ในการเดินทางครั้งนี้คนหนึ่ง”

     ทุกคนต่างหันมามองดูรพินทร์เหมือนจะขอความเห็นพรานใหญ่นิ่งเฉย ตาหรี่จับนิ่งอยู่ที่แงซายตลอดเวลา

“เหมาะไหม คุณรพินทร์ เรากำลังขาดคนอยู่คนหนึ่งพอดี” ไชยยันต์ต้องถามอย่างลิงโลด แต่จอมพรานคงพินิจสำรวจอยู่ที่เจ้าหนุ่มกระเหร่ยงอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ เหมือนจะค้นหาอะไรที่แอบแฝงอยู่

     ในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างๆ หันไปพูดเป็นภาษาอังกฤษกับนายจ้างของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้แงซายเข้าใจ เล่าคร่าวๆให้ฟังถึงว่า เจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงผู้นี้ เคยมีพฤติการณ์อันไม่น่าไว้ใจเช่นไรมาในอดีต เพราะเคยเป็นทหารโจรกะเหรี่ยง ทุกคนเมื่อได้ทราบก็พากันเงียบงันไป

“แงซาย แกนึกว่าจะใช้อุบายเก่าๆมาเล่นกับฉันได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกหรือ ไหนลองบอกมาซิว่า กองโจรกะเหรี่ยงใช้ให้แกมาเป็นสาย โดยขอสมัครมาเป็นคนใช้ของเราในระหว่างเดินทาง แล้วก็ดักปล้นเราตอนไหน ส่วนตัวแกงเองล่ะแน่ใจหรือว่าในครั้งนี้จะรอดไปได้”

แงซายมองตอบเขาด้วยสายตาตรง มีประกายแจ่มใส พร้อมกับโคลงหัวน้อยๆ “เป็นความสัตย์จริงครับ ผู้กอง ผมมาขอสมัครเป็นคนใช้เพื่อร่วมทางไปกับท่านด้วยสุจริตใจ ไม่ได้มีอุบายอะไรซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ขณะนี้ ผมเองก็ไม่ได้เป็นทหารโจรกะเหรี่ยงอีกแล้ว ในอาณาจักรป่าดงพงพีนี้ ท่านย่อมเปรียบเสมือนเสือใหญ่ เป็นเจ้าแห่งป่า ชีวิตของผมที่จะติดตามไปด้วย ก็ย่อมจะเป็นประกันอยู่ในมือของท่านอยู่แล้ว จงฆ่าผมเสีย ถ้าท่านมีความรู้สึกว่าผมทรยศ”

“หมอนี่พูดจาสำคัญแฮะ หน้าตาท่าทางก็เข้าทีไม่ใช่ย่อยหรือยังไง” เสียงไชยยันต์พึมพำออกมาเบาๆกับเชษฐา ส่วนดารินจ้องเป๋งไปยังหนุ่มกะเหรี่ยง รู้สึกว่าคณะนายจ้างของเขาทุกคนจะดูพอใจแงซายมาก แต่ทุกคนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรพินทร์ในการสอบซักเจรจา

“พฤติการณ์ของแกลึกลับไม่น่าไว้ใจเลยแงซาย” จอมพรานพูดตรงๆ

“ไหนลองเล่าประวัติของแกไปให้ละเอียดซิ”

“ผมชื่อแงซาย เป็นชาวกะเหรี่ยง แต่ก็ไม่ใช่กะเหรี่ยงแท้นัก ถิ่นฐานเชื้อชาติของผมเป็นชนอีกเผ่าหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ยังดินแดนไกลโพ้นไปทางด้านเหนือ ผมไม่มีที่อยู่หลักแหล่งแน่นอนตลอดเวลามา เร่ร่อนพเนจรไปทั่ว ผมได้จากดินแดนอันเป็นแหล่งเกิดมาตั้งแต่เป็นทารกเล็กๆ ครั้งหนึ่งผมได้เป็นทหารของนายพลอองซาน ประจำกองร้อย เสือดาว ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับกองยินตอง ที่ถูกฝ่ายของท่านเรียกว่าเป็นกองโจรกะเหรี่ยง ต่อมาผมได้หนีออกจากกองร้อย เสีอดาว ของยินตอง แล้วก็เร่ร่อนลงมายังเขตแดนไทย โดยสมัครเป็นกรรมกรในเหมืองแร่ บางครั้งก็ล่าสัตว์หาของป่าไปขายในเมืองเดี๋ยวนี้ผมเบื่อเต็มที่แล้ว อย่ากจะกลับไปทางด้านเหนืออีก เพราะแถบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของผม ท่านได้โปรดให้ผมได้ร่วมเดินทางไปกับท่านสักคนเถิดครับ ผมไม่ได้ขอสมัครเพื่อหวังค่าจ้าง หรือผลประโยชน์อันใดทั้งสิ้น นอกจากจะขอเพียงแค่เดินทางไปด้วย ผมขอปฎิญาณในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และความกล้าหาญ จะปฏิบัติตนรับใช้พวกท่านอย่างทาสผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งตามแต่ท่านจะใช้ ทุกสิ่งที่ผมกล่าวเป็นวาจาสัตย์”

     รพินทร์เองก็ออกจะงงๆไปเหมือนกันในวาจาอันฉะฉานคมคายผิดไปจากพวกพื้นเมืองสามัญของหนุ่มกระเหรี่ยงผู้ลึกลับ อย่างไรก็ตามเขามองไม่เห็นแสงทุจริตหรือพิรุธใดๆจากแววตาสุกใสคู่นั้น

     สำหรับคุณะนายจ้างของเขาทั้งสามคนย่อมไม่มีปัญหา ทั้งหมดมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ตรงกันในด้านที่พอใจคนใช้ผู้สมัครใหม่นี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะดารินหล่อนผิวปากหวือออกมาในทันทีที่เงี่ยหูฟังสำเนียงแปร่งๆของแงซายจบลง ร้องออกมายิ้มๆเป็นภาษาอังกฤษ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะพูดได้น่าฟังอย่างนี้ มันไม่เหมาะสมกับสภาพอันเป็นชาวดงของเขาสักนิด คำพูดและสำนวนของเขามันส่อออกชัดๆว่าเขาน่าจะได้รับการศึกษามาบ้าง ถึงจะไม่ดีนัก ก็คงพอสมควรทีเดียว คงไม่ใช่ชาวดงพื้นๆ ธรรมดาหรอก ถ้าฉันทายไม่ผิด”

“ฮือม์ แปลกมาก พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ม.ร.ว.เชษฐาพึมพำคล้อยตาม จ้องนิ่งอยู่ที่แงซายอย่างประหลาดใจ

“พับผ่าซิ ไอ้หมอนี่มันจะต้องซ่อนคมอย่างร้ายทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องบอกตามตรงว่า ฉันชักถูกชะตากับมันยังไงพิกล”ไชยยันต์ร้องออกมาบ้างอย่างนิสัยเปิดเผย ระหว่างที่รพินทร์ยังคงนิ่งด้วยอาการพิเคราะห์อยู่ ม.ร.ว.ดารินก็ปรากศรัยกับหนุ่มกะหรี่ยงมายิ้มๆเป็นภาษาไทยว่า

“แงซาย เธอเคยเรียนหนังสือที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า?”

แงซายเปลี่ยนสายตาไปจับอยู่ที่หญิงสาว ประกายตาคู่นั้นสำรวมอ่อนโยน แล้วก็ตอบอย่างสงบว่า

“เคยเรียนบ้างเล็กน้อยครับ นายหญิง”

“ที่ไหน อย่างไร ไหนลองบอกหน่อยซิ?”

“ผมเรียนอยู่เมืองมัณฑะเลย์ 8 ปี เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาเกิดขึ้น ก็ถูกส่งให้มากระโดดร่มเข้ายึดพม่าร่วมกับทหารอังกฤษ”

ทั้งหมดแทบจะผงะไปด้วยความตะลึงพรึงเพริดในคำบอกเล่าอย่างเรียบๆสงบเสงี่ยมของแงซาย

“วาว!!”ไชยยันต์ร้องออกมาลั่นห้อง ทำตาเหลือก จ้องหน้าหนุ่มกะเหรี่ยงอย่างงงันที่สุด รพินทร์เองก็ตะลึงคอแข็งไป ทุกคนประมาณการณ์ชาวดงผู้มาสมัครเป็นคนใช้ผู้นี้ผิดไปหมด ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ มันเนื่องมาจากความสงสัยช่างซักของม.ร.ว.ดารินแท้ๆ ประกอบกับความบริสุทธิ์ใจมิได้คิดจะปกปิดอำพรางของแงซาย ความจริงจึงได้ปรากฎออกมา

“ตายละวา ถ้าหมอนี้จะเป็นชาวดง ก็เรียกว่าชาวดงที่ผ่านหลักสูตรของมนุษย์ที่เจริญแล้วมาอย่างดีทีเดียว” แล้วไชยยันต์ก็ถามเป็นภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อว่า

“งั้นแกก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้น่ะซิ”

สีหน้าอันสำรวจของแงซายมิได้เปลี่ยนแปลงใดๆเลยในขณะที่ตอบเป็นสำเนียงที่ชัดที่สุดเท่าที่ลิ้นของชาวเอเชียจะพูดได้มาว่า

“ก็พอพูดได้ครับท่าน”

“เป็นไง?”

ไชยยันต์หันไปมองดูหน้าเชษฐาและดาริน ครางออกมา

“ยังไม่ทันจะเดินทางไปสู่ความลี้ลับพิสดารทั้งหลายเลย เรื่องพิสดารมันก็เกิดขึ้นเสียแล้วไหมล่ะ พวกเราเคยตะลึงอ้าปาค้าง เมื่อรู้ว่านายพรานู้นำทางของเราแท้ที่จริงเป็นนักเรียนการทหารเยอรมันมาทีหนึ่งแล้ว เดี่ยวนี้เราก็มาตะลึงกับคนใช้กะเหรี่ยง ผู้เคยศึกษาวิชาการรบในป่าที่กองบัญชาการสัมพันธมิตรจุบงกิงอีกคนหนึ่ง ชาวดงผู้พูดภาษไทยกรุงเทพด้วยลิ้นบ้านป่า แต่พูดภาษาสากลของโลกด้วยสำเนียงของชาวลอนดอน เป็นลมดีกว่าเรา”

ว่าแล้วไชยยันต์ก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองดังเผียะ

“เธอทำให้พวกเรางง และมหัศจรรย์ใจมากนักนะแงซาย ฉันสงวัยตั้งแต่เธอพูดแล้ว เธอพูดอย่างคนเจริญ ไม่ได้พูดอย่างชาวป่า ถึงแม้รูปลักษณะภายนอกของเธอจะเป็นชาวป่าก็ตาม”

รพินทร์ ไพรวัลย์ หัวเราะหึๆพูดมาต่ำๆ “แกเป็นคนลึกลับมากนะ แงซาย แต่ก็ขอบใจที่บอกตามจริงโดยไม่ปิด อย่างน้อยที่สุด มันก็แสดงให้เห็นว่า แกมีความบริสุทธิ์ใจกับพวกเรา เอาละ ขอถามอีกสักนิดเถอะ ขณะที่แกสังกัดอยู่ในกองทหารอิสระของนายพลอองซาน แกมีตำแหน่งเป็นอะไร?”

“ผมเป็นผู้บังคับหมวดสี่ ยศร้อยโทครับผู้กอง เป็นหมวดที่ตีโอบด้านหลังของค่าย หมีดำด้วยปืนกลเบาและเครื่องยิงระเบิด ถ้าท่านไม่คิดว่าผมโอหังจนเกินไป ผมก็จะถือโอกาสนี้เรียนตามสัตย์จริงว่า ในวันที่กองทหารโจรกะเหรี่ยงขยี้ค่ายหมีดำของตำรวจตระเวนชายแดนวันนั้น ผมเห็นตำรวจในค่ายแหกล้อมหนีไปได้เพียง 3 คนเท่านั้น หนึ่งในจำนวนสาม ผมจำได้ว่าเป็นท่าน แต่ความจริงแล้วจะไม่มีเหลือรอดไปได้เลยแม้แต่คนเดียว ท่านแหกล้อมออกมาทางด้านรังปืนของผมพอดี ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเหตุไร ผมจึงสั่งพลประจำปืนให้หยุดยิงจนกระทั่งท่านลับหายปลอดภัยลงไปในลำห้วย บางทีจะเป็นเพราะผมชอบท่านเป็นการส่วนตัวก็ได้”

“อ้อ แปลว่าแกช่วยชีวิตของฉันไว้ในครั้งนั้นสิ”

“ผมไม่ได้ช่วยหรอกครับ แต่ผมไม่ต้องการจะฆ่าท่าน”

“ให้ตายเถอะ!ฉันน่าจะจับแกส่งให้ศาลทหารพิพากษายิงเป้าเสียจริงๆ”

แงซายยิ้มกว้างตามเดิม ดูบริสุทธิ์เหมือนรอยยิ้มของเด็กไม่ได้โต้ตอบคำใดทั้งสิ้น สายตาของเขาที่กราดไปรอบๆเต็มไปด้วยอาการวิงวอนขอร้อง ม.ร.ว.หญิงดารินมองไปทางจอมพรานเอ่ยขึ้นเหมือนจะเตือน

“คุณยังไม่ได้บอกเขาเลยว่า จะยอมรับเขาให้ร่วมทางไปกับเราหรือเปล่า”

“ผมมอบหน้าที่ในการพิจารณานี้ให้แก่คุณชายเชษฐาและพวกคุณทุกคนครับ”รพินทร์เอ่ยเรียบๆ

“เราอยากจะขอความเห็นจากคุณ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” เชษฐาว่า เต็มไปด้วยความรอบคอบสุขุม ตาจับนิ่งมายังจอมพรานอย่างพยายามจะอ่านความรู้สึก ไชยยันต์ก็เสริมว่า “ถูกแล้ว หน้าที่ในการพิจารณาควรจะเป็นของคุณ ผู้เปรียบเหมือนกับปตันเรือ เพราะคุณรับผิดชอบในทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นผู้นำเรา พูดกันตรงๆก็คือ ถ้าคุณระแวงว่าเขาจะมีแผนทุจริตอะไรในการมาสมัครครั้งนี้ เราก็ไม่ต้องการเขา คุณรุ้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า?”

สายตาของแงซายเปลี่ยนมาจ้องประสานตาของพรานใหญ่อีกครั้ง มันมีประกายขอร้องวิงวอนอย่างประหลาด รพินทร์ยิ้มออกมานิดหนึ่ง ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ

“ผมเชื่อว่าเขาคงไม่มีแผนทุจริต เป็นพิษเป็นภัยอย่างใดต่อคณะของเราหรอกครับ”

“นั่นซิ ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยที่สุด เขาก็เคยช่วยชีวิตนายตำรวจตะเวนชายแดนไทยค่ายแตกคนหนึ่งไว้”

เสียงดารินเปรียออกมาเบาๆ เจตนาจะให้รพินทร์ได้ยิน เมื่อเขาชำเลืองมาก็พบกับหางตาชำเลืองอยู่ก่อนแล้วของหญิงสาว หล่อนทำเป็นเมินไปเสีย ริมฝีปากพรายไปด้วยรอยยิ้มเย้ยยั่ว

ม.ร.ว.เชษฐาลุกขึ้นจากที่นั่งเดินมายังแงซายผู้นั่งอยู่กับพื้น แล้วพยักหน้าออกคำสั่งให้หนุ่มกระเหรี่ยงยืนขึ้น แงซายปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อเขายืนขึ้นเต็มส่วนสัด ก็มองเห็นได้ว่าเป็นชายฉกรรจ์ร่างงามเยี่ยมคนหนึ่ง ยากที่จะหาได้ในเผ่ากะเหรี่ยงอันเป็นชาวดง เชษฐาพิจารณาใบหน้าและรูปร่างนั้นอย่างถี่ถ้วนด้วยความพึงพอใจ

“สองคนนี่มันได้คู่กันจริงแฮ่ะ”เสียงไชยยันต์ร้องออกมาเบาๆ

“ใหญ่พอฟัดกันได้อย่างเหมาะสมทีเดียว”

จริงอย่างไชยยันต์ว่า รูปร่างของแงซายและเชษฐาสูงใหญ่ตะหง่านงาม มีส่วนสัดไล่เลี่ยกันทุกอย่าง ผิดกันแต่ว่าคนหนึ่งผิวขาวเกลี้ยงสะอาดแบบชาวกรุง แต่อีกคนแดงจัดราวกับผิวหม้อใหม่ ดูกร้างแกร่งบึกบึนอย่างคนใช้ชีวิตอยู่อย่างสมบุกสมบัน

“ฉันชอบรูปร่างของแกเสียจริงๆ แงซาย” เชษฐาเอ่ยยิ้มๆ

“เอาหล่ะ เป็นอันว่าฉันยินดีที่จะรับสมัครแกเป็นคนใช้ร่วมเดินทางไปกับคณะของเรา”

แงซายตาเป็นประกายด้วยความปิติ ทุกคนเห็นเขายิ้มจนเห็นฟันทั้งสองแถว พึมพำออกมา

“เป็นพระคุณอย่างสูงครับเจ้านาย ท่านกรุณาผมเหลือเกิน”

“เราจะออกเดินทางเช้าพรุ่งนี้ แกพร้อมแล้วหรือ?” รพินทร์ถามมา

“ผมพร้อมเสมอครับ”

จอมพรานไต่ถามอะไรหนุ่มกะเหรี่ยงผู้เป็นคนใช้มาสมัครใหม่อีกสองสามคำ ก็บอกให้บุญคำนำลงไปจัดหาที่พักให้ เพื่อเตรียมร่วมออกเดินทางในวันพรุ่งนี้

     ทั้งหมดร่วมวงสนทนากันต่อไป ภายหลังจากแงซายได้ผละลงไปแล้ว เป็นการสนทนาที่อยู่ดึกเป็นพิเศษผิดไปกว่าทุกคืน ความจริงรพินทร์อยากจะปลีกตัว และกล่าวเตือนให้คณะนายจ้างของเขาพักเอาแรงไว้ เพราะพรุ่งนี้จะเริ่มต้นออกเดินทางแล้ว แต่ทั้งเชษฐาและไชยยันต์ เหนี่ยวรั้งคะยั้นคะยอเขาไว้โดยอ้างเหตุผลว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้สนทนาหารือกัน ภายในสถานที่อันเป็นที่พักสะดวกสบายแห่งนี้

     รพินทร์ย่อมรู้ดีว่า คณะนายจ้างของเขาตกอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น อันเป็นธรรมดาของผู้ที่รุ้ตัวว่ากำลังจะออกเดินทางไปสู่อนาคต ซึ่งยังไม่มีใครทายถูก มันอาจเป็นการผจญภัยชนิดที่ทุกคนไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต และมันเป็นวันสุดท้ายที่จะเริ่มต้น คนเหล่านั้นคงจะหลับนอนลงไม่ง่ายนัก และเมื่อทุกคนมีใครคิดจะอยากนอนในหัวค่ำนี้ แน่นอนละ ก็ต้องรั้งเขาไว้เป็นเพือนคุยด้วย พรานใหญ่ไม่ต้องการจะขัดใจคณะนายจ้างของเขา

     เรื่องที่คุยกันส่วนมาก เป็นเรื่องของการล่าสัตว์ และการใช้ชีวิตในป่า ซึ่งทุกคนเป็นฝ่ายซักถามเขา คำถามส่วนมากมักจะมาจากไชยยันต์ ซึ่งสังเกตว่าเขาจะมีความคึกคักตื่นเต้น และชอบการล่าสัตว์อยู่ไม่น้อย เชษฐานั่งฟังยิ่มๆ แต่ก็สนใจไม่น้อย มักจะกล่าวซักถามเป็นกิจลักษณะบ้างบางคราวเท่านั้น ส่วนดารินดูจะจ้องจังหวะขวางลำขัดคอเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาอยู่ตลอดเวลา ม.ร.ว.คนสวยผู้มีนิสัยแก่กล้าผิดหญิงผู้นี้ ดูจะจงใจเป็นปรปักษ์กับเขาเอาเสียจริงๆ แต่รพินทร์ไม่สนใจและยิ่งเขาไม่สนใจหรือถือเป็นสาระมากเท่าไหร่ หล่อนก็จะยิ่งเฮี้ยวมากขึ้นเท่านั้น

     สิ่งที่ทำความพอใจให้แก่นายพรานเล็กน้อยก็คือ คณะนายจ้างของเขาแต่ละคน ถึงแม้จะเป็นชาวกรุงที่ใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่กับอารยธรรมรอบด้าน ทว่าคนเหล่านั้นก็พอจะเคยคุ้นกับการเข้าป่า และสามารถเข้าใจกับชีวิตป่าได้บ้างตามสมควรไม่ใช่คนใหม่ที่ไม่รู้จักอะไรเอาเสียเลย

     เชษฐากับไชยยันต์เคยเป็นนักล่าสัตว์สมัครเล่น ออกเที่ยวป่าในทุกครั้งเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ได้ ส่วนม.ร.ว.หญิงดารินก็เคยออกป่าเกี่ยวกับการศึกษาในด้านมานุษยวิทยา ผนวกกับนิสัยที่ชอบซุกซนซอกแซกผิดหญิงของหล่อน อันเป็นธรรมชาติประหลาดที่ไม่น่าจะมีอยู่ในผู้หญิงสามัญทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นไม่ใช่บุคคลที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นอาชีพอย่างเขา ซึ่งย่อมจะเปรียบเหมือน ผู้เยาว์สำหรับ ป่าอยู่ดี

“จากประสบการณ์และทรรศนะพรานใหญ่อย่างคุณ การยิงสัตว์ในลักษณะไหน ที่เป็นไคลแมกซ์ของความตื่นเต้นสนุกสนานที่สุด”ไฃยยันต์ถามอย่างกระตือรือร้น

“ความตื่นเต้นออกรสออกชาติที่สุดในการยิงสัตว์ก็คือ สัตว์ใหญ่มีอันตรายในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อน ทวีความดุร้ายยิ่งขึ้น และวิ่งสวนเข้ามาหมายจะเอาชีวิตของเรา และเราก็ยิงมันในขณะนั้นแหละครับ แต่ผมไม่ขอสนับสนุนหรือแนะนำวิธียิงสัตว์แบบนี้แก่ใครทั้งสิ้น เพราะมันเป็นวิธีที่เสี่ยงอันตรายอย่างที่สุด และผิดหลักของพรานทั่วไป ผมเองก็ไม่นิยมปฎิบัตินอกจากว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นบังคับ ผมเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดมาครั้งหนึ่งแล้ว ในการยืนปักหลัก ยิงกระทิงที่สวนชาร์จเข้ามา แต่ในขณะนั้นมันจวนตัวจริงๆ หาที่หลบหรือกำบังไม่ทัน กระทิงตัวนั้นถูกปราบลงได้ แต่ตัวผมเองก็ไปนอนโรงพยาบาลเสียเดือนกว่า ความจริงน่าจะตาย แต่โชคของผมยังดีอยู่”

“เราได้ทราบข่าวเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คุณอำพลเล่าให้เราฟัง”เชษฐาพูด

“ความตื่นเต้นที่รองไปจากนี้ก็คือ การยิงสัตว์ในขณะที่อยู่พื้นดินอย่างเดียวกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินแกะรอยยิง หรือว่านั่งซุ่มยิงเพราะอากาสที่มันจะทำให้เราตื่นเต้นหวาดเสียวมีอยู่มาก ผิดกับการนั่งห้างยิง ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเราไม่มีการเสี่ยงอะไรเลย เอาเปรียบมันทุกประตู”

“สัตว์ป่าชนิดไหน ที่เป็นอันตรายที่สุดในการเดินป่า”ดารินตั้งคำถามมาบ้าง

“คุณหญิงลองทายซิครับ”

“ช้างกระมัง”

“ไม่ใช่ครับ”

“เสืองั้นรึ ฉันเคยได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆเหมือนกันว่า ถ้ามันดุจริงๆมันจะย่องเข้ามาเล่นงานพวกล่าสัตว์จนถึงแคมป์ที่พักในขณะนอนหลับ”

“ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ เสือ ช้าง หรือสัตว์ใหญ่น่ากลัวมีอันตรายต่างๆแท้ที่จริงไม่ได้เป็นภัยที่น่ากลัวสำหรับนักเดินป่าเลย ธรรมชาติของพวกนี้โดยปกติแล้วมักจะหนีคนอยู่เสมอ จะสู้หรือคิดทำร้ายก็เฉพาะเมื่อตอนเจ็บและจวนตัวเท่านั้น”

“ถ้างั้นอะไรล่ะ หรือว่าไม่มี”

“มีซิครับ มีแน่ๆ นักเดินป่าหรือล่าสัตว์ทุกคนกลัวมันทั้งนั้น  และก็ไม่มีทางจะป้องกันได้ นอกจจากจะใช้ความระมัดระวังรอบคอบให้มากที่สุด งูพิษทุกชนิดยังไงละครับ คุณหญิง เจ้าพวกนั้นมันมักจะเล่นงานเราโดยไม่รู้ตัวเสมอ อาจจะหลบซ่อนอยู่หรืออาจจะแอบเข้ามากัดในขณะที่เรานอนหลับ ชีวิตของนักเดินป่าส่วนมาก สิ้นไปก็เพราะอันตรายจากพวกงูพิษเหล่านี้ มากเสียกว่าสัตว์อื่นๆ”

“เส้นผมบังภูเขาเลย หรือยังไงน้อย”ไชยยันต์หันมาล้อดารินพร้อมเสียงหัวเราะ

“แต่น้อยคงไม่กลัวไม่ใช่หรอ เห็นเตรียมเซรุ่มมาตั้งแยะนี่”

ม.ร.ว.ดารินหน้าง้ำ พูดกระแทกเสียง “เมื่อฉันถามถึงสัตว์ป่า ฉันไม่ได้หมายความถึงจำพวกงู ฉันหมายถึงสัตว์สี่เท้าสองเท้าทั้งหลาย ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเขาจะตอบแบบกำปั้นทุบดินแบบนี้ งูน่ะใครๆก็รู้ว่ามันมีทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ ป่าดงพงพีตามทุ่งตามนา หรือแม้กระทั่งลานเทอเรซหินอ่อนในบ้านของฉันที่กรุงเทพ งูเห่ามันก็ยังเคยเลี้อยขึ้นมาเลย”

“เออแน่ อยากจะถามเพื่อหาความรู้กับเขาแล้ว พอเขาตอบให้ก็มีโมโห ยายน้อยนี่”พี่ชายตำหนิมาด้วยอารมณ์ขันๆกึ่งรำคาญ

“คุณหญิงต้องถามใหม่ซิดรับว่า สัตว์ป่าที่เราจะใจจะล่ามัน ชนิดไหนเป็นสัตว์ที่น่ากลัวและมีอันตรายที่สุดในระหว่างการล่า”

“ไม่ถามแล้ว”หญิงสาวตอบสะบัดๆ หัวเราะออกมาอย่างถอนฉิว แล้วกล่าวต่อไปว่า

“แต่อยากจะถามอีกซักข้อหนึ่งในฐานะที่คุณเป็นพรานใหญ่ชื่อเสียงเกรียงไกรถึงขนาดนี้ คุณเล่ารู้ไหมว่าการล่าสัตว์อะไรที่ถือกันว่าเป็นสัตว์ใหญ่ที่อันตรายที่สุดของโลก”

“ผมไม่ทราบหรอกครับ บางทีจะเป็นเพราะผมไม่ใช่พรานใหญ่ของโลก อย่างคุณหญิงว่าก็ได้”

รพินทร์ตอบอย่างสุภาพ ซ่อนยิ้ม บอกกับตัวเองว่านิสัยผู้หญิงมักจะเป็นอย่างนี้เอง ต่อให้ฉลาดปราดเปรื่อง ผ่านอะไรต่ออะไรมามากขนาดไหนก็ตาม แต่ก็หนีอะไรที่เป็นไปในแบบ ผู้หญิง หรือ เด็กไปไม่ได้

     และในขณะนี้ เขามีความรู้สึกเหมือนจะล้อเด็กเล่น ล้อให้มีโมโหเดือดดาล แล้วก็พิจารณาดูความน่าเอ็นดูระคนไปกับน่ารำคาญนั้นด้วยอารมณ์ครื้นเครง

     ไชยยันต์ ผู้ดูเหมือนจะเป็นขมิ้นกับปูนมาตลอดเวลากับดาริน ก็กระทุ้งแทนมาให้ว่า “แล้วน้อยว่าอะไรล่ะ ไหนลองขยายภูมิของนักล่าสัตว์ที่คุยว่าผ่านมาแล้วทุกป่าทั่วโลกหน่อยซิ”

“หมีโคเดี๊ยกย่ะ วงการล่าสัตว์ทั่วโลกถือกันว่าเป็นเกมที่ใหญ่ยิ่งและมีอันตรายที่สุด รองลงมาก็คือความป่าแอฟริกัน ซึ่งทั้งสองชนิด ฉันเคยยิงมาแล้วกับมือด้วยซ้ำ”

หล่อนเชิดหน้า จีบปากบอก พี่ชายและเพื่อนพากันหัวเราะ

“ไอ้การล่าสัตว์แบบบันเทิง ชนิดที่ตีตั๋วราคาแพงเข้าไปในบริเวณป่าสงวน ที่ทางการเขาเลี้ยงเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวซ้อมมือเล่นแล้วก็ต้องจ้างพรานผิวขาวให้คอยถือปืนคุ้มกันให้ในขณะที่ยิงนั่นนะ มันก็เหมือนการล่าสัตว์อยู่ในกรงนั่นแหละ น้อยไม่น่าจะเอามาคุยเลยพับผ่าซิ และในขณะนี้ เราก็ไม่ได้บุกอลาสก้าหรือบุกแอฟริกา แต่เรากำลังบุกป่าในแถบเอเชีย ความเก่งกล้าสามารถของน้อยในการล้มหมีโคเดี๊ยกหรือควายป่าแอฟริกันเอามาคุยกับรพินทร์ไม่ได้หรอก เราควรจะเรียนเพื่อหาความรู้ความชำนาญจากเขา แม้ในด้านทฤษฎีก่อนก็ยังดี ไม่ใช่มาคุยถึงการตีตั๋วเพื่อล่าสัตว์ อันเป็นกีฬาบันเทิงของนักท่องเที่ยว เข้าใจ๋”ไชยยันต์พูดพลางหัวเราะ

“ก็ขอคุยบลั๊ฟมั่งซิ มีอย่างรึ ถามดีๆ กลับตอบเลี้ยวลดหาเรื่อง ยั่วโมโหอยู่ได้”ดารินบ่นอุบอิบ ชำเลืองคอนให้

ทั้งหมดพากันหัวเราะกันขึ้นอีก

“สัตว์อะไรยิงยากที่สุดและมีอันตรายที่สุดในป่าของเราตามความรู้สึกของคุณ”ม.ร.ว.เชษฐาหันมาทางรพินทร์ ถามอย่างสนใจ

“ความรุ้สึกของพรานทุกคน อาจไม่เหมือนกันนักหรอกครับคุณชาย” เขากล่าวขึ้นช้าๆ

“บางคนกลัวช้าง เพราะช้างมักจะมาเป็นโขลง และถ้ามันรวมกำลังกันบุกตะลุยเข้ามาจริงๆเรามักจะยิงมันไม่ทัน ตัวหนึ่ง่ล้ม อีกตัวหนึ่งอาจถึงตัวเราเสียก่อน...บางคนกลัวเสือเพราะเคยพิสูจน์กันได้หลายครั้งว่า เสือเป็นสัตว์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบฉลาดที่สด ในบรรดาสัตว์ป่าด้วยกัน ถ้าลงมันได้จ้องจะเป็นศัตรู อาฆาตแค้นกับคนล่ามันจริงแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีอันตรายที่สุด บางคนว่าหมีเป็นสัตว์ที่มีความอาฆาตอย่างรุนแรงที่สุดลงถ้าคู่ของมันตัวหนึ่งถูกยิงตาย อีกตัวหนึ่งจะต้องแก้แค้น จนกว่ามันจะฆ่าศัตรูของมันได้ หรือจนกว่าตัวมันจะตายทีเดีย ส่วนบางคนไม่ยอมเข้าใกล้อีเก้งที่ถูกยิงล้มลงไปแล้ว จนกว่าจะซ้ำให้ตายสนิท เพราะเคยปรากฎว่าเก้งที่ถูกยิงล้มไปแล้ว ลุกขึ้นขวิดเอาคนยิงมันบาดเจ็บสาหัส หรือถึงตายไปก็มี ซึ่งจะประมาทมันไม่ได้ บางคนก็ระมัดระวังวัวแดงเสียยิ่งกว่ากระทิง เรื่องต่างๆเหล่านี้มันล้วนแล้วแต่ว่า ใครจะมีประสบการณ์กับตนเองมาอย่างไร และนำมายึดถือเป็น ซึ่งมันไม่มีทฤษฎีใดจะเที่ยงแท้แน่นอนเสมอไปนัก”

แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ จุดบุหรี่สูบ

“สำหรับผม ถ้าจะล่าหมูป่ากันละก็ ผมจะต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ ให้มีความรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ หมูป่านั้นชื่อของมันค้านกับบุคลิกลักษณะและพิษร้ายของมันอย่างชนิดที่ตรงกันข้ามทีเดียว ที่ผมถือว่าหมูป่าเป็นสัตว์อันตรายที่สุด ก็เพราะผมเคยเห็นพรานเก่งๆหลายคนต้องเสียชีวิตเพราะหมูป่า อันเนื่องมาจากความประมาทว่ามันเป็น หมูและตัวผมเองก็เกือบตายเพราะเจ้าหมูป่ามาหลายครั้งแล้ว ยิ่งเสียกว่าสัตว์ชนิดใดทั้งสิ้น ในขณะที่นัดแรกที่ผมยิงมันไม่อยู่”




ทุกคนมองดูเขาอย่างประหลาดใจงงงัน

 “แปลกจริง หมูป่านะเร้อ คุณถือว่าเป็นสัตว์อันตรายที่สุดในการล่า”ไชยยันต์ครางออกมา

จอมพรานก้มศีรษะ “ครับ หมูป่านี่แหละ ร้ายกาจเกินเชื่อนัก”

เขาคิดว่า ม.ร.ว.หญิงดารินคงจะหัวเราะงอหายออกมาในคำพูดของเขาแต่หล่อนกลับขยับตัวแสดงอาการสนใจอย่างยิ่งมองมายังเขาด้วยอาการเตรียมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“โปรดอธิบายซิ คุณรพินทร์” เชษฐาพูดอย่างทึ่งๆ

“การชาร์จหรือการทำร้ายโต้ตอบของมัน ในขณะที่ถูกเจ็บผิดกับสัตว์อื่นทุกชนิดครับ คุณชาย สัตว์อื่นถ้าวิ่งเข้าใส่เมื่อพลาดเป้าหมายโดยเราหลบเสียทันหรือมีกำลัง มันก็จะวิ่งเตลิดผ่านไปเลย แต่หมูป่าไม่ใช่อย่างนั้น มันวิ่งเข้าใส่เรา เมื่อผิดก็จะหวนกลับเข้ามาใส่อีก ชนิดคลุกคลีพัลวันหลายตลบ โดยไม่เปิดโอกาสให้เราตั้งตัวติดทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยงคล่องแคล่วว่องไวที่สุด ดูแทบจะไม่ทัน ตัวมันก็ไม่ใช่ใหญ่อะไรนัก การจะยิงซ้ำในขณะที่มันพัลวันเข้าเล่นงานเรา ทำได้ยากมาก การตามรอยหมูที่ถูกยิงเจ็บไป หรืออีกนัยหนึ่งที่เรียกกันว่า หมูลำบากก็เหมือนกัน ยากกว่าการตามรอยเสือลำบากเสียอีก เสือที่ถูกเจ็บไป ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ที่ใด ถ้าเราตามเข้าไปในการที่จะเข้าไปได้ในระยะที่มันรู้ตัว ได้กลิ่น ก็มักจะคำรามให้เสียงเป็นเชิงบอกให้เรารุ้ตัวเสียก่อนว่ามันแอบอยู่ตรงไหน ทำให้เราสะดวกในการที่จะเข้าไปยิงซ้ำ แต่หมูไม่ใช่อย่างนั้น มันจะซุ่มนิ่งอยู่กับที่ ไม่กระโตกกระตากอะไรเลย พอเราเข้าระยะของมัน ก็จะจู่โจมเข้าใส่ทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว อีกอย่างหนึ่ง การตามรอยหมูก็ยากกว่าการตามรอยสัตว์อื่นๆมาก มันมักจะซอกแซกไปตามที่รกชัฏ เป็นอุปสรรคในการติดตาม ยิ่งกว่านั้น หมูป่ายังมีนิสัยปากบอนไม่ว่าจะผ่านไปทางไหน ก็กัดแทะ ขุดคุ้ยบริเวณที่มันผ่านไปเป็นนิสัยบางทีมันไปเจองูในทิศทางที่มันเดินผ่านไป แทนที่มันจะเลี่ยงหลีกไปเสีย มันก็จะกัดงูตัวขาดทิ้งไว้ มักจะปรากฎอยู่บ่อย นี่เป็นอันตรายมาก งูถูกกัดตัวขาดยังไม่ตายสนิท เลื่อยไปไหนก็ไม่ได้ นอนรอคอยอยู่นั่นเอง พอเราตามรอยหมูที่ล่วงหน้าไปก่อน ไม่ทันเห็นไปเหยียบเอางูที่มันกัดทิ้งไว้ งูก็กัดเราตายเสียก่อน อันตรายจากการล่าหมูป่าก็มีอย่างนี้แหละครับ ถ้าไม่เคยชินกับสัญชาตญาณของมันจริงๆ คนก็มักจะไม่รู้ คิดประมาทว่ามันเป็นหมู โดยมองข้ามพิษร้ายของมันไปเสีย พรานที่ถูกหมูกัดหรือขวิดตายก็เพราะความประมาทเป็นต้นเหตุ”

“ฮื่อ ! นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียว” เชษฐาและไชยยันต์ครางออกมาพร้อมๆกัน

“เป็นการดีเหลือเกิน ที่เรามีโอกาสคุยกันเสียก่อนที่จะออกเดินทางเข้าป่าแท้จริง ถึงอย่างไรก็ตาม ขณะนี้คุณก็เปรียบเหมือนครูของพวกเราแล้ว อย่าลังเลอะไรเลยในการที่จะสอนอะไรให้รู้เรื่องของป่า เรายอมรับว่าพวกเราไม่มีความชำนาญมาก่อน และเป็นฝ่ายขอรับความรู้หรือจะพูดตรงๆก็คือ ขอเรียนจากคุณนั่นแหละ”

“แล้วถ้าจะล่าหมูป่า จะให้ทำยังไงถึงจะปลอดภัย”ดารินถามอ่อยๆ

“จำไว้สองอย่างเท่านั้นครับ ถ้าอยู่บนพื่นดินเดียวกับมัน ไม่ใช่ยิงจากห้างก็อย่ายิงสวนหน้ามันเป็นอันขาด ธรรมชาติของสัตว์ป่าทุกชนิด เวลาหน้าของมันหันไปทางไหน ความตั้งใจจะหนีหรือจะสู้ มันก็เผ่นไปข้างหน้า ประการที่สอง อย่าชะล่าใจเชื่อในฝีมือของตัวเอง ถ้านักแรกผิด ทิ้งปืนกระโดดขึ้นต้นไม้ก่อนใครเขาว่าขี้ขลาดก็ช่าง เอาความปลอดภัยไว้ก่อน”

คำพูดแบบอารมณ์ขันของเขา ทำให้ทั้งหมดพากันหัวเราะครืนขึ้นอีก ม.ร.ว.ดารินซักพลางหัวเราะพลางมาอีกว่า “อ้อ!นี่เป็นทฤษฎีรึ คุณเองผู้ได้ชื่อว่าเป็นจอมพรานก็ทำอย่างนี้เหมือนกันรึ พอยิงผิดก็กระโจนขึ้นต้นไม้เลย”

“ครับ ผมรอดตายเพราะหมูป่า ก็ด้วยวิธีกระโจนขึ้นต้นไม้นี่แหละ สัตว์อื่นไม่ว่าจะเป็นช้างหรือกระทิง ถ้านัดแรกผิด ผมก็ยังพอจะยืนปักหลักยิงนัดที่สอง ที่สาม ในเวลามันวิ่งสวนเข้ามาได้ แต่หมูป่า ผมต้องเผ่นขึ้นต้นไม้ก่อน ทิ้งปืนชั่วตราว”

“ตลกจัง”ร้องออกมาพร้อมกับหัวเราะงอหาย รพินทร์ ไพรวัลย์เพิ่งจะเห็นอารมณ์ขันแท้จริงของ ม.ร.ว.หญิงดารินครั้งนี้เป็นครั้งแรก หล่อนเริ่มจะมีความสนุกเพลิดเพลินในการคุย และเป็นกันเองกับเขาขึ้นบ้าง

“ว่าแต่เราเถอะ จะไม่สอนวิธียิงหมีโคเดี๊ยก หรือควายป่าแอฟริกันให้คุณรพินทร์ได้ศึกษาไว้บ้างรึ?”

ไชยยันต์ร้องบอกมา หล่อนหัวเราะจนหน้าแดง สะบัดเส้นผมดำขลับที่ปลิวมาปรกหน้าให้กลับไปเคลียอยู่กับไหล่

“ฉันคุยโม้ไปงั้นเองแหละ ความจริงฉันไม่เคยยิงสัตว์อะไรได้เลยสักอย่าง นอกจากพวกนก ฉันยิงปืนมากก็จริง แต่ส่วนมากเป็นการยิงเป้ากระดาษ คุณคงไม่ถือและอย่านึกหมั่นใส้ไปเลยนะนายพราน ในกรณีที่ฉันอวดโม้ไปบ้าง แล้วก็ควรจะถือฉันเป็นลูกศิษย์ในการเดินป่าของคุณสักคน”

“เออ ให้มันรู้จักรับรองสภาพความจริงอย่างนี้เสียมั่งซิ อย่าเอาแต่อวดดีนัก”พี่ชายว่า

“ผมเคยนั่งห้างดักสัตว์มาหลายครั้ง” ไชยยันต์ชวนสนทนาต่อไปอย่างสนุก

“พบอะไรๆหลายอย่างที่เป็นข้อสงสัย แต่ยังไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย ตามปกติเราขึ้นห้างกันตั้งแต่บ่ายสี่โมง แล้วก็แกร่วทรมานอยู่บนนั้นจนกว่าจะรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง เท่าที่ผมเคยยิงสัตว์ได้ทุกครั้ง เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน มีแสงสว่างพอให้เห็นศูนย์ปืน แต่พอมืดแล้ว ผมไม่เคยยิงอะไรได้เลยสักครั้ง ทั้งๆที่สัตว์มันเข้ามาใต้ห้างมากมายก่ายกองไปหมด ไฟฉายที่ส่องออกไป มักจะไปติดบังไพรของตัวห้างเอง หรือมิฉะนั้นก็ติดกิ่งไม้ใบไม้เสียหมด กว่าจะพบตาสัตว์ พวกมันก็เปิดอ้าวไปหมดแล้ว หรือต่อให้พบมัน ผมก็ยังนึกไม่ออกว่า ในระหว่างไฟฉายที่เราส่องสะกดตาสัตว์ไว้ และในระหว่างปืนที่เราพยายามจะเล็งศูนย์ มันคงอะหลุกขลุกขลักพิลึก มันไม่ถนัดเลย และผมเคยทำไฟฉายตกจากห้างในเวลาฉุกละหุกนี่บ่อยๆ คุณเคยพบกับความยุ่งยากในข้อนี้บ้างไหม หรือว่าคุณมีวิธีแก้ไขยังไง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมก็ยังสงสัยนั่นเองว่า พวกที่เขานั่งห้างยิงสัตว์กลางคืนโดยใช้ไฟฉายนั้นน่ะ เขายิงสัตว์ด้วยวิธีไหน ถ้าหากบริเวณที่ขัดห้างเป็นทุ่งโล่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะไม่มีอะไรมาขัดขวางเกะกะลำไฟฉายเป็นอุปสรรค ทำให้ส่องเห็นได้ง่าย แต่ถ้าบริเวณขัดห้างเป็นดงทึบ มีกิ่งไม้บังไพรหนาแน่น เขาจะส่องไฟยิงได้ยังไง”

“นักล่าสมัครเล่น หรือพรานฝึกหัด พบปัญหาอย่างที่คุณไชยยันต์ว่ามาแล้วทุกคนครับ”จอมพรานอธิบายในขณะที่ยิ้มอย่างสุภาพ

“ความสำเร็จในเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับแบบของปืนที่จะใช้ยิง และความชำนาญในการยิง จะมามัวพะวงพึ่งไฟฉายอยู่ไม่ได้ ถูกแล้วครับ การใช้ไฟฉายส่องบนห้างที่มีบังไพรหรือซุ้มไม้หนาแน่น ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาได้เลย นอกจากจะทำให้สัตว์รู้ตัว เตลิดหนี้ไปเสียก่อนที่เราจะเห็นมันถนัดด้วยซ้ำ นักล่าสัตว์ที่ชำนาญจะไม่พยายามใช้ไฟฉายเลย ในขณะที่นั่งซุ่มอยู่ในที่มีบังไพรและพุ่มไม้ทึบ เสียงการเคลื่อนไหวของสัตว์ก็ดี เสียงกัดกินอาหารหรือกินน้ำก็ดี พรานที่จัดเจนจริงๆจะคำนวนถูกในทันทีว่าควรจะเป็นชนิดไหน หรือถ้าคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ไม่มากนัก คงอยู่ในประเภทใกล้เคียงกันนั่นแหละ และจะต้องรู้ด้วยว่า สัตว์อยู่ห่างออกไปทางด้านไหน สักเท่าไหร่ และอาศัยยิงตามเสียงโดยใช้การคำนวณ มันออกจะยากอยู่มากสำหรับคนฝึกใหม่และในการยิงสุ่ม โดยอาศัยเพียงแค่เสียงของสัตว์ประกอบกับการคำนวณนี่ไม่มีปืนชนิดไหนจะให้ผลดีเท่ากับประเภทลูกซอง ผมถึงได้บอกแต่แรกแล้วไงครับว่า ผมชอบใช้ปืนชนิดนี้ สำหรับยิงสัตว์ในเวลากลางคืน คือตัดปัญหาในเรื่องการมองเห็นศูนย์ปืนหรือไม่ออกไป พอวาดปากกระบอกตรงเราก็เหนี่ยวไกได้ทันทีผิดกับไรเฟิลซึ่งจะต้องใช้การเล็งพิถีพิถันถ้ามองไม่เห็นศูนย์ปืน ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ไฟฉายนั้นเอาไว้ส่องสำรวจดูผลการยิงเท่านั้น คือ ยิงเสียก่อน แล้วค่อยส่องดูทีหลังว่าถูกหรือเปล่า โดยปกติแล้ว การนั่งห้าง สัตว์มักจะเข้ามาให้ยิงในระยะใกล้มากอยู่แล้ว เราใช้ปืนลูกซองยิงตามเสียง และการคำนวณส่วนมากก็ไม่ค่อยจะผิด หรือถ้าบังเอิญเราไม่ได้ถือปืนลูกซอง ถ้าถือไรเฟิลแทน ก็ใช้ยิงในวิธีเดียวกันนี่แหละ คือสุ่มยิงเข้าไปในที่หมาย ซึ่งเราแน่ใจว่าสัตว์ควรจะอยู่ที่นั่น เว้นไว้แต่ว่าไรเฟิลมันมีโอกาสถูกสัตว์ได้น้อยกว่าลูกซองเท่านั้นในการยิงเดาสวนเช่นนี้”

“อ๋อ เขายิงกันแบบนี้เองนะหรือครับ””ไชยยันต์ร้องลั่นออกมา หน้าตื่น หันไปมองดูเชษฐาผู้ฟังอยู่อย่างตั้งใจ

“ฉันเพิ่งจะรู้จากคำบอกเล่าของรพินทร์เดี๋ยวนี้เอง นั่นซิสงสัยอยู่ว่า เมื่อใช้ไฟฉายไม่ได้ถนัด เขายิงกันได้ยังไง เล่นยิงตามเสียงนี่เอง และไอ้การยิงแบบนี้ มันต้องใช้ความชำนาญอย่างสูงทีเดียว”

“ฉันก็เคยบอกแกแล้ว่าเป็นปืนลูกซองน่ะ ความจริงมันให้ผลมากที่สุดในการล่าสัตว์ในป่าเมืองเรา แกก็มัวแต่คิดว่าปืนลูกซองเป็นปืนชั้นต่ำ สู้ไรเฟิลไม่ได้ จริงล่ะ มันสู้ไรเฟิลไม่ได้ในอานุภาพการประหัตประหารระยะไกล หรือต้องการจะล้มสัตว์ใหญ่ แต่มันก็ได้เปรียบไรเฟิลในอีกหลายๆทางอย่างที่คุณรพินทร์บอกมาตะกี้นี้ สำหรับฉันถ้าจะมีปืนให้ถือได้เพียงกระบอกเดียวแล้ว ฉันขอถือลูกซองแบบกึ่งอัตโนมัติบรรจุครั้งละห้านัดดีกว่าที่จะแบกดับเบิ้ลไรเฟิล มันอุ่นใจที่สุดในการล่าสัตว์หรือป้องกันตัวในทุกสถานการณ์ ถ้าไม่คิดหวังจะไปรบกับช้างหรือโรมรันกับแรด กระทิง”

เชษฐากล่าว รพินทร์สนับสนุนมาว่า “ถูกของคุณชายแล้วครับ คุณไชยยันต์ ปืนลูกซองที่เราพิจารณากันว่าเป็นปืนพื้นบ้านธรรมดานี่แหละ ความจริงมีประโยชน์ที่สุดถ้าหากเราจะเลือกใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ ถ้าเราเกรงไปว่าในเกมเสียงอันตราย อันหมายถึงจะต้องยิงซ่ำในวงกระสุนที่มากกว่าสองนัดแทนที่เราจะใช้แผด เราก็เลือกใช้แบบกึ่งอัตโนมัติหรือแบบปั๋มแอ๊คชั่นเสีย เพื่อให้มันบรรจุกระสุนได้มากกว่านั้น สัตว์ป่าเมืองไทยที่ล้มตายอยู่ทุกวันนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ตายด้วยปืนลูกซองทั้งนั้น ป่าเมืองเราเป็นป่าทึบ การยิงสัตว์เรายิงกันในระยะไม่ห่างเกินไปนัก ซึ่งในระยะอย่างว่านี้ ลูกซองมีอำนาจในการประหัตประหารได้พอเพียงทีเดียว ยกเว้นสัตว์หนังหนาเพียงไม่กี่ประเภท”

ไชยยันต์ยักไหล่”สำหรับผมไม่รู้เป็นยังไง ผมถือว่าปืนลูกซองควรจะเป็นปืนที่ยิงสัตว์มีปีกอย่างเดียวเท่านั้นเวลาเข้าป่าล่าสัตว์ใหญ ผมไม่เคยถือลูกซองเลย”

“เพราะฉะนั้นน่ะซิ ในเวลากลางคืนแกจึงไม่เคยยิงอะไรได้เลย เพราะมัวแต่มะงุมาะงาหราหาศูนย์ปืนไม่พบ สัตว์มันเผ่นหนีเสียก่อน”

“ท่าจะจริงแฮะ ไปคราวนี้ต้องลองใช้ลูกซองนั่งห้างในเวลากลางคืนอย่างคุณรพินทร์ว่าบ้าง ปัญหามันมีอยู่ว่า ถ้าช้างมันเข้ามารื้อห้างที่นั่งอยู่...”

“ในป่า ย่อมมีอันตรายทุกฝีก้าวย่างแหละครับ และคนที่รักในการผจญภัยเท่านั้นที่นิยมเที่ยวป่า ซึ่งต้องย่อมรับรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามันเต็มไปด้วยการเสี่ยง ต่อให้คุณถือ.600ไนโตรเอกซเปรส ถ้าช้างมันจงใจจะยกขบวนเข้ารื้อห้างของคุณจริงๆคุณก็ไม่มางจะยับยั้งมันไว้ได้ ผมเองเคยล้มช้างมานับไม่ถ้วนในขณะเดียวกันก็เคยวิ่งหนี้ช้างป่าราบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน”พรานใหญ่กล่าวด้วยเสียงเรียบๆ

“คุณจะไม่แนะนำให้เรารู้ล่วงหน้าเสียหน่อยหรือ ถ้าเราไปนั่งห้าง แล้วช้างมันเกิดยกโขลงมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ห้าง เราจะทำยังไงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้างที่ใช้ขัดยิงสัตว์ก็เป็นห้างเตี้ยๆสูงจากพื้นดินไม่มากเท่าไหร่นัก และก็ไม่ได้ปลูกอย่างแน่นหนาอะไรเลย ชนิดที่มันเอาสีข้างไถทีเดียวก็น่าจะถล่มลงมาแล้ว นั่งห้างอยู่หลายครั้งผมก็เสียวในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาภาวนาไม่ให้ช้างมันเข้ามาโชคดีที่มันก็ไม่เคยเข้าในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ซักที”

“เท่าที่ปฎิบัติอยู่ ถ้าช้างมันบังเอิญเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ห้าง และปืนในมือของผมเล็กกว่ามัน ไม่สามารถจะล้มมันได้ ผมก็ใช้วิธีนั่งสงบ มองดูมันเฉยๆการที่มันเข้ามใกล้เราแสดงว่ามันไม่ได้เจตนา เพราะธรรมชาติของสัตว์ป่าทุกชนิด ถ้าได้กลิ่นเราก่อนแล้ว มันจะไม่เข้ามาใกล้เลย นอกจากจะเผ่นหนีทันที เมื่อช้างเข้ามาใกล้ห้าง ก็แปลว่ามันไม่รู้ว่าเราอยู่บนห้าง มันก็จะพากันเดินผ่าน หรือหากินกันไปตามปกติธรรดาแล้วก็จะไปเอง หรือถ้าขณะนั้นมันบังเอิญได้กลิ่นเรา มันก็จะเคลื่อนโขลงผละไปทันที ข้อสำคัญที่สุดก็คือ อย่างทำอะไรกระโตกกระตากให้มันตกใจเป็นอันขาด เพราะถ้ามันตกใจตื่น เกิดวิ่งปั่นป่วนขึ้น มันอาจวิ่งเข้ามาชนต้นไม้ที่เราขัดห้างอยู่ โดยที่มันไม่เจตนาก็ได้ สรุปแล้ววิธีปลอดภัยที่สุดก็คืออย่าตกใจ ถ้าเห็นสัตว์มันมีขนาดใหญ่กว่าปืนในมือ และไม่อยุ่ในฐานะที่จะยิงมันได้ก็เฉยเสีย อย่าไปยิงมัน เกือบจะเป็นเรื่องธรรมดาหรับผมทีเดียวในการนั่งเฉยๆมองดูโขลงช้างเดินลอดใต้ห้างของผมไปชนิดที่สันหลังของมันห่างจากใต้ห้างที่ขัดไว้แค่ว่าเดียวเท่านั้น”

“โอ้โฮ!ผมกลัวว่าผมจะไม่ใจเย็นเท่าคุณรพินทร์นะซิเจอเข้าอย่างนั้นมีหวังตัวสั่นตกจากห้างลงมาให้เหยียบเสียก่อน”ไชยยันต์พูดอย่างคนมีอารมณ์สนุก เปิดเผย

“ขอท้วงหน่อยนะ นายพราน จะว่าขัดคอก็ว่าเถอะ”

เสียงใสที่เงียบ ม.ร.ว.ดารินดังขึ้นมา เขานึกว่าหล่อนนั่งหลับไปแล้ว ที่เก้าอี้ยาวมีนวมรองตัวนั้น แต่ที่ไหนได้เห็นลืมตาแจ๋ว

“เชิญครับ คุณหญิง ผมเกือบจะง่วงอยู่แล้ว ที่คุณหญิงเงียบจากการขัดคอไปตั้งนาน”

เชษฐากับไชยยันต์หัวเราะกันขึ้นอีกในคำตอบของเขาหญิงสาวยิ้มแค่นๆสำเนียงและแววตาบอกชัดว่าต้องการรวนเขาอีก

“คุณบอกว่าธรรมชาติของสัตว์ป่าทุกชนิด ถ้าได้กลิ่นคนแล้วจะไม่เข้าใกล้หรือจะแปลให้ชัดก็คือ สัตว์ป่าจะต้องหนีคนเสมอ ถ้างั้นเสือทำไมถึงเอาคนไปกินล่ะ บางรายนอนอยู่ในแคมป์แท้ๆมันยังย่องมาคาบเอาไปเลย พวกหมีก็เหมือนกัน ฉันเคยได้ยินได้ฟังว่ามันเข้ามารังควานคนบ่อยๆ ช้างในอินเดียก็เคยปรากฎว่า ยกโขลงเข้าทำลายหมู่บ้านเสียที้งหมู่ ยิ่งกว่านั้นสตว์ดุร้ายอีกหลายประเภท พอเห็นคนเข้าก็ปรี่เข้าใส่ทันที โดยเห็นเป็นเหยื่อโอชะไปเสียด้วยซ้ำ”

     พรานใหญ่หัวเราะในสียงเรื่อยเฉื่อยอันเป็นปกติธรรมดาของเขา ก่อนหน้าการเซ็นสัญญาจ้างนำทาง เขาไม่เคยสนใจอะไรกับ ม.ร.ว.ดารินเลย แต่เดี๋ยวนี้เขาจำเป็นจะต้องสนใจหล่อนแล้ว ในฐานะนายจ้าง และก็น่าจะเป็นนายนายจ้างชนิดที่ทำความหนักอกหนักใจให้แก่เขาไม่ใช่น้อย ในระหว่างการเดินทางมหาวิบากครั้งนี้ เรียกว่าเป็นภาระหนักอึ้งอันหนึ่งเลยทีเดียว

“เอ น้อยนี่เป็นไงแฮะ ดูจะรวนคุณรพินทร์อยู่เรื่อย”ไชยยันต์หันมาบ่นพร้อจุ๊ปาก

“ไหนเราว่าจะยอมเป็นลุกศิษย์เดินป่าเขาแล้วยังไง ทำไมถึงมาอวดดีกับอาจารย์ ค้านโน่นขัดนี่อยู่ตลอดเวลา”

“ใช่ยอมเป็นลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์ที่ดีก็ต้องช่างถามหน่อยซิ แล้วในการซักถาม หรือค้านในเวลาสงสัย จะหาว่าเป็นการขัดคออาจารย์ก็ไม่ถูก หรือยังไง อาจารย์?”

ประโยคหลังหล่อนหันไปถามจอมพรานหน้าเฉยแต่ตายิ้มเต็มไปด้วยประกายท้าทาย

“ครับ ถูกต้อง ผมก็เห็นหน่วยก้านมานานแล้วว่า คุณหญิงจะเป็นลูกศิษย์เดินป่าของผมชนิดดีประเภทหนึ่งทีเดียว เอาเถิดครับ ในการเดินทางครั้งนี้ คุณหญิงจะได้พบกับภาคปฎิบัติเป็นการฝึกฝนไปในตัวมีคุณค่ามากกว่าทฤษฏีมากมายนัก”

“แล้วอนุญาตให้ร้องไห้ หรือบ่นกระปอดกระแปดก็ได้แต่อย่างหวังที่จะให้เลิกเรียนเสียกลางคันโดยการย้อนกลับมาส่งบ้าน จนกว่าจะจบหลักสูตรนั่นคือ ตามหาอนุชาได้พบ ตอบเขาไปอย่างนี้ซิ คุณรพินทร์”ไชยยันต์สอดมา

หล่อนทำตาเขียวใส่เพื่อนชายผู้มีนิสัยขี้แหย่ แล้วหันมาทางรพินทร์

“ไม่ต้องมาประชดประชันฉัน คุณยังไม่ได้ตอบข้อแย้งของฉันเลย”

“เอาละครับ ผมจะตอบในข้อแย้งของคุณหญิง ขอยืนยันอยู่อีกครั้งว่า สัตว์ป่าทุกชนิดจะไม่พยายามข้องแวะเข้ามารังควานมนุษย์เลย นอกจากจะหลีกไปให้พ้น แต่มันก็มีกรณีพิเศษยกเว้นอยู่บ้างเหมือนกันเป็นต้นว่า ถูกมนุษย์รังควานเอาก่อนและต่อสู้เพื่อป้องกันตน หรือตอบแทนเป็นการแก้แค้น 'เสือกินคนก็คือเสือที่ชราภาพ หรือทุพพลภาพ ไม่มีปัญญาที่จะไปจับสัตว์อื่นใดกินได้อีกแล้ว และบังเอิญมีโอกาสที่จะจับคนกินได้จนกระทั่งติดเป็นนิสัย ช้าง จะดุร้ายและเห็นคนเป็นศัตรูตัวฉกาจ ถ้าโขลงของมันถูกตามล่า ถูกยิงอยู่บ่อยๆได้รับบาดเจ็บทุกข์ทรมานส่วนสัตว์ดุร้ายอื่นๆก็เหมือนกัน ที่มันเห็นมนุษย์เป็นศัตรู  ก็เพราะมนุษย์กระทำมันก่อนทั้งสิ้น แต่ละสัตว์เหล่านั้นถ้ามันไม่เคยลิ้มรสรู้พิษสงกับลูกปืนมาก่อน มันก็ไม่อยากจะมาป้วนเปี้ยนเข้ามารังควานคนหรอก นิสัยของสัตว์ป่าทุกชนิดตื่นคอยระวังภัยอยู่ทุกฝีก้าว แล้วอะไรที่ผิดกลิ่นผิดท่า มันจะต้องผละหนีก่อนเสมอ แต่กฎทุกส่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรตายตัวท้งสิ้น มันอาจมีกรณีพิเศษเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ทว่าก็น้อยมาก ที่พูดให้ฟังนี้เป็นหลักโดยทั่วๆไปรวมความแล้วก็คือการใช้ชีวิตอยู่ในป่าจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่นิดหนึ่ง และถ้าเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าให้ใช้สติสัมปชัญญะการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม อย่าตื่นเต้นจนเกินไปนัก ฝากความไว้วางใจทุกชนิดไว้กับอานุภาพของปืนที่ถืออยู่ในมือ และฝีมือการยิง คิดเสมอว่า สัตว์มันไม่มีทางที่จะวิเศษไปกว่ามนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณหญิงนี้เป็นต้น สามารถยิงปืนสั้นและปินยาวได้อย่างแม่นยำที่สุด แต่ถ้าหากคุณหญิงสามารถยิงสัตว์ได้แม่นยำถูกต้องเหมือนกับการยิงเป้ากระดาษทุกนัด คุณหญิงก็สามารถจะท่องป่าได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวลกับอะไรเลย”

“ฉันก็ไม่เห็นกังวลอะไรสักนิด คนอื่นซิ ที่มากังวลกับฉันโดยไม่จำเป็น”หล่อนพูดเบาๆหัวเราะเสียงใส

“เอาเถิดครับ แล้วพรุ่งนี้คุณหญิงก็จะได้รู้เอง และจะรู้ซึ้งขึ้นทุกขณะเมื่อเราลึกเข้าไปยังเขาพระศิวะ อันเป็นจุดหมายปลายทางเรื่องของป่ามีอาถรรพณ์ของมันอยู่ในตัว บางขณะมันลี้ลับมืดมนชนิดที่วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าเล่าออกไปแล้ว พวกคุณก็อาจจะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลขบขัน เอาไว้เผชิญด้วยตาดีกว่าครับ จะอย่างไรก็ตาม ขอเตือนย้ำไว้อีกครี้งว่า ไม่ว่าจะพบเห็นอะไรที่ผิดปกติ วิกลวิการ คุมสติไว้ให้ดี อย่าขวัญเสีย ปืนในมือนั่นแหละครับ จะเป็นเครื่องรางป้องกันตัวเราได้อย่างประเสริฐที่สุด พินิจพิจารณาดูให้แน่เสียก่อนแล้วก็เล็งให้แน่ เหนี่ยวไกตูมออกไปเถิดครับอะไรๆก็กระเจิงหมด”

     เสียงของเขาเคร่งขรึมจริงจังผิดไป คณะนายจ้างทั้งสามหันมามองดูหน้ากัน ม.ร.ว.หญิงตารินหน้าตื่นขึ้นในบัดนั้น กอดอกห่อไหล่

“เอ๊ะ!คุณพูดเป็นนัยยังไงพิกล ฟังแล้วชักขนลุก อธิบายให้ชัดๆหน่อยซิ มันหมายถึงอะไร เอ...นายพรานนี่พิลึกจริงเชียว ยิ่งใกล้จะออกเดินทางก็ยิ่งพูดให้ใจไม่ดี สิ่งที่ผิดปกติวิกลวิการที่คุณว่าน่ะมันคืออะไร?”

รพินทร์หัวเราหึๆสีหน้ากร้านของเขาดูเป็นเงาสลัว ยากที่จะอ่านออก ในแสงรางๆ ของตะเกียงรั้วซึ่งจุดไว้

“ใครบอกว่าผมพูดให้ใจไม่ดีครับ ผมพูดเพื่อให้เตือนสติไว้ก่อนตะหาก ป่าที่เราจะบุกบั่นเข้าไป เป็นป่าที่สูงที่สุด เต็มไปด้วยสรรพอันตรายนานาชนิด รวมทั้งสิ่งที่เราอาจไม่คาดฝันว่าจะได้พบเห็น ชีวิตที่คลุกคลีหากินอยู่ป่ามาช้านานของผม ทำให้ผมพอจะได้เรียนรู้กับมันมาบ้างพอสมควร ผมเองก็เคยผ่านโลกท่ถือว่าเจริญสุดมาแล้ว วิทยาศาสตร์ผมก็เคยเรียนมาพอจะรู้ความหมายของมัน แต่ทฤษฎีของโลกเจริญเหล่านั้น มันไม่แน่ว่าจะนำมาใช้และตัดสินความในป่าได้เสมอไปนัก บางขณะมันก็ค้านกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ผมมีความเชื่อมั่นว่าพวกคุณลงได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางโดยไม่คำนึงถึงอะไรแม้แต่ชีวิตแล้วเช่นนี้ อะไรท้งหลายแหล่มันก็เป็นเรื่องเล็กไปหมด”

“ผมเข้าใจความหมายของคุณ รพินทร์” เขษฐาพูดขึ้นต่ำๆยิ้มอย่างเยือกเย็น ขณะทีเอื้อมมือมาตบไหล่จอมพราน

“ผมกับไชยยันต์ก็ถือหลักเดียวกวันกับคุณนั่นแหละ คือสติสัมปชัญญะและปืนในมือ เราไม่หวั่นไหวในการจะเผชิญกับอะไรทั้งสิ้นภายใต้การนำของคุณ เอาล่ะ ดึกมากแล้ว เรานอนกันเถอะ”




 





    

                   






 





    

                   





    





    
                   

5 ความคิดเห็น: